นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ภายหลังจากน.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีอีก 9 คนถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งนั้น มีผลกระทบค่อนข้างมากต่อเศรษฐกิจ โดยประเมินว่าหากสถานการณ์การเมืองยังยืดเยื้อต่อไปอีก 3-4 เดือน มีความเป็นไปได้สูงที่ประเทศไทยจะถูกบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือปรับลดเครดิตประเทศลง ซึ่งจะส่งผลทำให้ต้นทุนการกู้เงินของรัฐบาลและเอกชนไทยปรับเพิ่มขึ้น โดยเบื้องต้นประเมินว่า ฟิทซ์ เรทติ้ง น่าจะเป็นแห่งแรกที่ปรับลดเครดิตของไทย หลังจากนั้น มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ก็จะมีการปรับลดเครดิตประเทศไทยตามมา”ตอนนี้เศรษฐกิจไทยมีความไม่แน่นอนสูง หากปัญหาการเมืองมีความรุนแรงมากขึ้นอีกก็ลำบากเลย เพราะตอนนี้กระทรวงการคลังทำอะไรเพื่อพยุงเศรษฐกิจไม่ได้ นอกจากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ และการเร่งให้ธนาคารรัฐปล่อยสินเชื่อ เพราะหากยังไม่มีรัฐบาลใหม่เข้ามาทำงบประมาณปี 2558 เศรษฐกิจปีหน้าของไทยก็คงเข้าสู่ภาวะเผาจริงแน่นอน ซึ่งจะแย่กว่าปีนี้อย่างมาก”  ภาวะเศรษฐกิจที่มีปัญหายาวนาน ยังส่งผลกระทบต่อภาคการเงิน ทำให้มีหนี้เสียในระบบมากขึ้น เนื่องจากลูกหนี้มีรายได้ลดลง ไม่เพียงพอชำระหนี้ ซึ่งในส่วนนี้ สศค. ได้เรียกผู้บริหารธนาคารรัฐทุกแห่งเข้าหารือ เพื่อให้เร่งรัดปล่อยสินเชื่อเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะการปล่อยสินเชื่อให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี  ขณะเดียวกันปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้น ก็ทำให้การบริโภคชะลอตัวลง การลงทุนหยุดชะงัก ซึ่งหากไม่มีรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มภายในปีนี้ มีโอกาสสูงมากที่จีดีพีไทยในปีนี้จะเติบโตได้ไม่ถึง 2.6% ตามที่เคยประมาณการณ์ไว้ ทั้งนี้ตั้งความหวังว่า ต้องการให้ความขัดแย้งทางการเมืองยุติลง และควรเร่งรัดให้มีการจัดตั้งรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มมาบริหารประเทศ เพื่อเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ออกมา รวมถึงจัดทำงบประมาณปี 58 ด้วย ไม่เช่นนั้นเศรษฐกิจไทย รวมถึงความเชื่อมั่นการลงทุน การบริโภค จะแย่ลงไปเรื่อย ๆ

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : คลังห่วงการเมืองลุกเป็นไฟ

Posts related