นายจิรเทพ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา โฆษก ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า หลังจากที่มีครม.แล้ว จากนี้ไปต้องติดตามดูว่ารัฐบาลจะเดินหน้าทำงานตามนโยบายที่วางไว้ได้หรือไม่ โดยเฉพาะการเบิกจ่ายงบประมาณต่างๆ ว่าได้ตามเป้าหมายหรือไม่ หากทำได้ถือว่าเป็นปัจจัยบวกต่อการทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวกลับมาได้ อย่างไรก็ดี มองว่าในช่วงวัฎจักรเศรษฐกิจขณะนี้ต้องใช้นโยบายภาครัฐเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจมากกว่าการใช้นโยบายการเงินธปท.เห็นว่า ขณะนี้ ต้องจับตาดูการลงทุนภาครัฐเป็นหลักว่าจะเป็นไปในทิศทางใด เพราะหากภาครัฐเดินหน้าการลงทุน จะเป็นตัวช่วยให้ภาคเอกชนลงทุนเพิ่มขึ้นตามไปด้วยโดย ธปท.จะติดตามความชัดเจนของนโยบายภาครัฐ เพราะมองว่าจะเป็นปัจจัยหลัก ที่ทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้ในปีหน้าส่วนการทยอยปรับขึ้นราคาก๊าซแอลพีจี และเอ็นจีวีตามแผนงานที่กำหนดไว้นั้น ธปท.ประเมินว่าจะกระทบต่อเงินเฟ้อพื้นฐานเพียง0.01% เท่านั้นซึ่งถือว่าน้อยมาก ส่วนใหญ่จะส่งผลกระทบดังกล่าวต่อไปยังหมวดอาหารปรุงสำเร็จ แต่ทั้งนี้จะต้องดูสิ่งที่ตามมาคือการอุดหนุนราคาพลังงานที่ยังเหลืออยู่ ทำให้คาดว่าหากขึ้นราคาอีกก็คงไม่กระทบมากนัก แต่หากขึ้นไปจนถึงราคาในตลาดโลกนั้น คงต้องติดตามว่าจะกระทบต่อเงินเฟ้อหรือไม่นายจิรเทพ กล่าวว่า ด้านค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงในช่วงนี้ ยังเป็นไปในทิศทางเดียวกับสกุลอื่น ๆ ในภูมิภาคจากการที่เงินดอลลาร์สหรัฐกลับมาแข็งค่าขึ้น เพราะตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวที่ออกมาดีส่งผลให้ช่วงนี้ตลาดจึงยังรอดูนโยบายทางการเงิน ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)อีกครั้งในเร็ว ๆ นี้ว่าจะขึ้นดอกเบี้ยเร็วกกว่าที่คาดการณ์หรือไม่“ค่าเงินบาทในปัจจุบันนั้น ผันผวนน้อยลง เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาแต่ก็ยังย่อมมีความเสี่ยง เนื่องจากส่งผลให้ภาคเอกชนและธนาคารพาณิชย์กล้าที่จะเปิดรับความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้นเพราะเชื่อว่าหากเกิดสถานการณ์ไม่แน่นอน หรือวิกฤติ ทางการจะเข้ามาช่วยได้ ซึ่งในส่วนของธปท.ก็มีมาตรการดูแลค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับเหมาะสมไม่ให้ผันผวนจนกระทบต่อเศรษฐกิจอยู่”นายสมบูรณ์ จิตเป็นธม ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายความเสี่ยง ธปท. กล่าวว่า ได้แนะนำให้ธนาคารใดที่จะขายตราสารหนี้ด้อยสิทธิระยะยาวตามเกณฑ์บาเซิล 3 ต้องให้ความรู้ความเข้าใจแก่นักลงทุนให้ดูความพร้อมในการรับความเสี่ยงด้วยเนื่องจากตราสารดังกล่าวนี้ถือว่ามีความเสี่ยงสูงกว่าตราสารหนี้ทั่ว ๆ ไป หรือค่อนข้างคล้ายกับตราสารทุนเพียงแต่มีข้อดีต่อธนาคารพาณิชย์คือ สามารถรองรับความเสียหายของสถาบันการเงินได้รวมทั้งช่วยลดภาระทางการเงินของทางการในการให้ความช่วยเหลือ และดีต่อนักลงทุนคือเพิ่มทางเลือกให้ ซึ่งขณะนี้มีธนาคารกรุงไทย และธนาคารทหารไทย นำร่องเสนอขายแล้วรวมมูลค่า 62,000 ล้านบาท จากตราสารหนี้ในเงินกองทุนขั้นที่ 2 (เทีย 2) 260,000ล้านบาท.

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : ธปท.จับตานโยบายภาครัฐกระตุ้นเศรษฐกิจ

Posts related