นายบุญทักษ์  หวังเจริญ ประธานสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สมาคมธนาคารไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยภายหลังการประชุมกกร.ว่า   มาตรการเศรษฐกิจที่คณะกรรมการรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ให้แต่ละหน่วยงานเร่งดำเนินการโครงการต่าง ๆ นั้นจะทำให้เศรษฐกิจไทยในปีนี้ขยายตัวได้ประมาณ 2-2.5%  จากเดิมในช่วงที่ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองเศรษฐกิจในไตรมาส 1/57 ติดลบ 0.6% และทั้งปีจะโตเพียง 1%   เป็นผลมาจากการเร่งจ่ายเงินในโครงการรับจำนำข้าวให้กับชาวนาวงเงิน 92,000 ล้านบาทภายในเดือนมิ.ย.นี้ทำให้การบริโภคขยายตัวเพิ่มขึ้น  รวมถึงการเบิกจ่ายงบลงทุนอีก 7,000 ล้านบาท  ขณะเดียวกันได้มอบหมายให้หน่วยงานไปจัดทำงบประมาณปี 58 ให้เสร็จก่อนเดือนก.ย.นี้ นอกจากนี้การเลือกลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาทบางโครงการที่มีความจำเป็น  เช่น  ส่วนต่อขยายรถไฟใต้ดิน รถไฟรางคู่ และโครงการบริหารจัดการน้ำ จะส่งผลดีต่อระบบโลจิสติกส์และการขยายตัวของสินเชื่อ คาดว่าจะโตประมาณ 8-10% จากเดิมที่ตั้งไว้ว่าสินเชื่อในระบบจะโตประมาณ 6-8%  “ปัจจุบันผู้บริหารประเทศมีความชัดเจนจะทำให้เศรษฐกิจเริ่มมีเสถียรภาพ จากเดิมก่อนรัฐประหารเศรษฐกิจหดตัว แต่เชื่อว่าการจ่ายเงินให้ชาวนาจะทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียน”  สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น เตรียมเสนอคณะกรรมการรักษาความสงบแห่งชาติจัดสรรงบประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท ให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม(บสย.) ขยายการค้ำประกันความสูญเสียโครงการให้เอสเอ็มอี จากเดิมสัดส่วน 18% เป็นสัดส่วน 50% เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ขาดสภาพคล่อง  นอกเหนือจากการให้สถาบันการเงินระหว่างประเทศเข้ามาร่วมค้ำประกันกับบสย. ซึ่งจะเป็นทางเลือกให้กับผู้ประกอบการมากขึ้น ขณะเดียวกันเร่งออกพรก. ขยายเวลาลดภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้นิติ บุคคลและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ออกไปอีก 2 ปี เร่งจัดตั้งคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เพราะมีโครงการรอพิจารณา 400 โครงการ เงินลงทุน 660,000 ล้านบาท  รวมถึงเจรจาเขตการค้าเสรี หรือ เอฟทีเอ เพื่อกระตุ้นการส่งออก รวมทั้งเสนอให้มีคณะกรรมการและการจัดตั้งคณะกรรมการภาครัฐและเอกชน(กรอ.)  เพื่อเป็นกลไกการทำงานร่วมกันระหว่างรัฐและเอกชนในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย  กล่าวว่า การเร่งสร้างความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยเป็นเรื่องสำคัญ  โดยภาคเอกชนจะใช้เวทีการประชุม อาเซียนบิสสิเนส ซัมมิท  ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 14 – 15 ก.ย.นี้ ที่ประเทศฟิลิปปินส์ทำความเข้าในกับนักลงทุนและนักท่องเที่ยวต่างชาติ  และเร่งให้จัดทำโครงการเมดอินไทยแลนด์   กำหนดใช้วัตถุดิบที่ผลิตจากไทย เพื่อเป็นการส่งเสริมภาคอุตสาหกรรม 

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : กกร.หวังจีดีพีโต2.5%

Posts related