ปัญหาการเมืองไทยในเวลานี้ยังไม่มีทางออกว่าจะเดินหน้าไปในทิศทางใด แม้จะมีการจัดตั้งเวทีกลางเพื่อระดมความคิดเห็นจากสังคมในทุกภาคส่วนแล้วก็ตาม แต่ความแตกแยกทางความคิดของคนในชาติยังคงมีอยู่ ขณะที่การกำหนดวันเลือกตั้งครั้งใหม่ในวันที่ 2 ก.พ.57 ก็ยังไม่มีใครให้คำตอบได้เช่นกันว่าจะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่? โอกาสนี้ “ทีมเศรษฐกิจเดลินิวส์” จึงขอถือโอกาสสำรวจความคิดเห็นของบรรดาพี่น้องคนไทยทั้งชาวบ้าน นักธุรกิจ นักวิชาการ ดารา ว่า  “รัฐบาลในฝัน” และ “ทางออกของประเทศไทย” ที่ดีที่สุดและที่คนไทยเหล่านี้ต้องการเป็นอย่างไร หนุนให้เกิดการเลือกตั้ง      เริ่มจาก  “จงกล ม่วงแก้ว” เจ้าของร้านกาแฟ “ต้นกาแฟระดับชาติ” บอกว่า ในฐานะที่ทำมาค้าขายต้องการเห็นการจัดให้เกิดการ “เลือกตั้ง” เกิดขึ้นเพื่อให้ได้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารงานตามระบอบประชาธิปไตย หากเลือกตั้งแล้วเป็นพรรคเพื่อไทยเหมือนเดิมก็ต้องทำใจยอมรับเพราะถือว่าได้มาจากเสียงส่วนใหญ่ แต่เมื่อเข้ามา บริหารประเทศแล้วก็ต้องดูแลแก้ไขปัญหาราคาสินค้าไม่ให้แพงเกินไป เพราะเวลานี้ทำมาค้าขายลำบาก ต้นทุนสินค้าต้นทุนวัตถุดิบแพงขึ้น แต่ขายของได้เท่าเดิม ทำให้กำไรที่ได้หายไปกว่าครึ่งแล้ว “การที่รัฐบาลยุบสภาตอนนี้เป็นสิ่งที่ดี ทำให้บรรยากาศทางการเมืองคลี่คลายลงบางส่วน ขณะที่ปัญหาเศรษฐกิจอาจปรับตัวดีขึ้น หากได้รัฐบาลที่ดีเข้ามาบริหารงาน เพราะปัจจุบันนี้ผู้ประกอบอาชีพค้าขายในยุคของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทำมาหากินลำบาก เพราะราคาสินค้าปรับสูงขึ้นตลอดเวลา ขณะที่รายจ่ายกลับเพิ่มมากขึ้น ทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น” ขอให้ดูแลทุกคนทุกอาชีพ ด้าน “อิทธิพล จ่างจำรัส” หัวหน้าวินรถจักรยานยนต์รับจ้างย่านตลาดนางเลิ้ง บอกว่า ทั้งนี้ไม่ว่าจะมีรัฐบาลจากพรรคการเมืองใดเข้ามาบริหารประเทศ ก็อยากให้ดูแลประชาชนอย่างจริงใจ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ต้องแก้โครงสร้างใหม่ให้เกิดความเท่าเทียมกัน จ่ายเงินให้ผู้สูงอายุอย่างรวดเร็ว และเหมาะสม รวมทั้งมีสวัสดิการมากขึ้น ขณะเดียวกันเรื่องของการศึกษาถือเป็นอีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน ที่รัฐบาลต้องส่งเสริมการศึกษาให้เด็กมีศักยภาพเหมือนกับประเทศที่พัฒนาแล้ว ไม่อย่างนั้นเด็กไทยที่โตมาอาจไม่มีคุณภาพ ส่วนปัญหาเรื่องการเมือง แม้ว่ารัฐบาลชุดนี้จะยุบสภาไปแล้ว และรอมีรัฐบาลใหม่ ก็อยากให้ตอนจะออกนโยบายอะไรมาขอให้ถามความเห็นประชาชนก่อนว่าต้องการอะไรเพียงใด “อิทธิพล” บอกด้วยว่า ช่วงนี้จะมีผู้โดยสารเรียกใช้บริการเป็นจำนวนมาก เพราะอยู่ใกล้กับพื้นที่ชุมนุม แต่ไม่ได้หมายความว่า ในวันข้างหน้าจะมีรายได้ดีอย่างนี้ต่อไป ปัญหาเรื่องของค่าใช้จ่ายยิ่งเพิ่มขึ้นทุกวัน โดยตอนนี้ยังไม่รู้และคงตอบไม่ได้ว่า อนาคตเศรษฐกิจไทยจะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะเรื่องของรายได้ เพราะอาชีพขี่จักรยานยนต์รับจ้าง มีความเสี่ยง รายได้แต่ละวันมีได้ไม่เท่ากัน บางวันได้มาก บางวันแทบไม่พอค่าน้ำมัน ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้คนที่มาบริหารประเทศช่วย บริหารบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้า ดูแลคนทุกอาชีพให้ดีเท่า ๆ กัน ขอคนที่คนไทยยอมรับ หันมาที่นักร้องและนักแสดงหนุ่ม วัย 28 ปี อย่าง “จิระ ด่านบวรเกียรติ” หรือ ฟลุ๊ค–ซีควินท์ ที่ตอนนี้ผันตัวเองมานั่งเก้าอี้ ประธานบริษัท แบงค็อก ซิกเนเจอร์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจเสริมความงาม “แบงค็อก คลินิก” ควบคู่ไปกับงานด้านบันเทิง บอกว่า รัฐบาลในฝันไม่จำเป็นต้องเก่ง และไม่ต้องเพอร์เฟกต์ แต่ทำไงก็ได้ให้คนไทยยอมรับซึ่งกันและกัน รวมถึงสมานความแตกแยกต่าง ๆ ที่มีอยู่ในสังคมให้ดีขึ้น และเมื่อทุกอย่างดีขึ้นแล้ว หลังจากนั้นภาพรวมเศรษฐกิจก็จะดีขึ้นตามไป อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าปัญหาการชุมนุมทางการเมืองที่เกิดขึ้นนั้น ส่งผลกระทบกับการดำเนินธุรกิจพอสมควร เพราะทำให้รายได้ของสาขาต่าง ๆ ลดลง เห็นได้จากสาขาใหม่ของแบงค็อก คลินิก ที่เอสพลานาดรัชดา ซึ่งเพิ่งเปิดให้บริการเมื่อวันที่ 11 พ.ย. ที่ผ่านมา พบว่า มีรายได้เข้ามาเพียงเดือนละประมาณ 900,000 บาท เท่านั้น จากเดิมที่คาดว่าจะสร้างรายได้ถึงเดือนละ 2 ล้านบาท ดังนั้น จึงต้องปรับแผนการทำตลาดให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ด้วยการจัดโปรโมชั่นต่าง ๆ กระตุ้นความสนใจของลูกค้า เช่น ซื้อแพ็กเกจราคา 30,000 บาท จะได้รับมูลค่าเพิ่มเป็น 50,000 บาท เป็นต้น ส.อ.ท.หนุนปฏิรูปประเทศ      ด้านภาคเอกชนอย่างสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยหรือส.อ.ท. โดย “วัลลภ วิตนากร” รองประธาน ส.อ.ท. บอกว่า ทางออกที่ดีที่สุด และภาคเอกชนต้องการเห็นที่สุด คือ การปฏิรูปประเทศก่อนเลือกตั้ง โดยเฉพาะการแก้ไขกฎหมายการเลือกตั้งให้โปร่งใส ลดการทุจริตในการเลือกตั้งให้ได้มากที่สุด รวมทั้งแก้กฎหมายวางหลักเกณฑ์ต่อต้านคอร์รัปชั่นให้มีประสิทธิภาพ และบทลงโทษที่เฉียบขาด ซึ่งเป็นปัญหาหลักที่ทำร้ายประเทศชาติมายาวนานให้หมดสิ้นไป รวมทั้งปฏิรูปการใช้อำนาจรัฐแทรกแซงองค์กรอิสระ และแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ นอกจากนี้ควรให้มีการทำสัญญาประชาคม ระหว่างพรรค การเมือง ไม่ให้ดำเนินการสิ่งใดที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง  หากทั้ง 2 ฝ่ายเดินหน้าแก้ปัญหาอย่างจริงจัง ไปตามแนวทางนี้ เชื่อว่า จะลดความขัดแย้ง และสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศชาติในระยะยาว ต้องลงนามประชาคม “พรศิลป์  พัชรินทร์ตนะกุล” รองประธานกรรมการหอการค้า ไทย  เสนอแนะว่า ทางออกเศรษฐกิจและทางออกของประเทศ ตอนนี้มีไม่มาก แต่สิ่งที่ต้องการให้เกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้งที่จะถึงนี้คือให้หัวหน้าพรรคการเมือง สมาชิกพรรคการเมืองทุกพรรคร่วมกันลงนามในสัญญาประชาคมว่าจะไม่กระทำการใด ๆ ที่เป็นการทุจริตต่อประชาชนและประเทศชาติเหมือนที่ผ่านมา  เบื้องต้นแม้ไม่สามารถป้องกันการทุจริตได้ทั้งหมด แต่เป็นหนทางที่ทำให้นักการเมืองเหล่านี้ไม่สามารถทุจริตได้อย่างง่ายดายเหมือนที่ผ่านมา ส่วนคณะกรรมการประชาชนเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้ เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) น่าจะพัฒนากลายเป็นองค์กรอิสระที่มั่นคงและใหญ่ขึ้น ทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของนักการเมืองอย่างเข้มข้นนอกรัฐสภา  ซึ่งภาคเอกชนจะให้ความร่วมมือเต็มที่ จี้หาข้อยุติก่อนเลือกตั้ง “ไพบูลย์ นลินทรางกูร” ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย บอกว่า หลังจากที่มีการประกาศยุบสภา ทำให้สถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศคลี่คลายลงไปบ้าง  แต่ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ก็ยังไม่ดีขึ้น เพราะปัญหาดังกล่าวยังกระทบกับการบริโภคในประเทศ รวมถึงภาคการท่องเที่ยว ในส่วนของตลาดหุ้นไทยนั้น คาดว่าจากนี้ไปจนถึงเลือกตั้งครั้งใหม่  ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มกลับมาเป็นบวกมากขึ้น สะท้อนความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ลดลง ’ปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้นนี้เป็นเรื่องของความสามัคคีในประเทศ ไม่ใช่แค่เพียงภาคธุรกิจหรือภาคตลาดทุน ดังนั้น ต้องมีการหาข้อยุติอย่างแท้จริงให้ได้ก่อนการเลือกตั้งครั้งใหม่ ซึ่งทางสภาตลาดทุนก็พร้อมจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่“ เลือกตั้งใหม่คือคำตอบ “ปิยะมาน เตชะไพบูลย์” ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) บอกว่า การที่รัฐบาลเลือกวิธียุบสภาแล้วจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะเป็นสิ่งที่อยู่ตามกฎกติกาของบ้านเมืองระบอบประชาธิปไตย แต่ถ้าในอนาคตจะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก หาความแน่นอนไม่ได้สิ่งที่กังวลคือ การเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่ดีเกี่ยวกับตัวเลขนักท่องเที่ยวที่จะโตแบบถดถอยลงเรื่อย ๆ และสุดท้ายจะกลายเป็นติดลบได้ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ไม่มีความสุขเพราะต้องเจอกับสถานการณ์เดิม ๆ ถึงแม้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะเติบโตได้ด้วยตัวเองจากแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามอยู่แล้วกับเติบโตจากเอกชนเป็นหลัก แต่หากยังมีเหตุการณ์แบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ขีดความสามารถในการแข่งขันก็จะเริ่มลดลงอย่างแน่นอน รัฐบาลต้องมาจากเลือกตั้ง ด้านนักวิชาการอย่าง “อนุสรณ์ ธรรมใจ” รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยรังสิต บอกว่า คุณสมบัติของรัฐบาลชุดใหม่ที่เข้ามาบริหารประเทศ นอกจากเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ มีคุณธรรมแล้ว ยังต้องไม่ใช่พวกฮาร์ดคอร์ อยู่ฝั่งใดฝั่งหนึ่ง เพราะอาจเป็นชนวนให้เกิดภาคขัดแย้งด้วย และที่สำคัญรัฐบาลชุดนี้ ต้องมาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย เพราะส่วนตัวเห็นว่าระบอบประชาธิปไตย สามารถเปิดการมีส่วนร่วมจากประชาชนส่วนใหญ่ได้ ดีกว่าระบอบอื่นที่มาจากคนไม่กี่คน ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาตามมาในอนาคตได้  ส่วนภารกิจสำคัญที่ควรเข้ามาแก้อันดับแรก คือ วิกฤติทางการเมือง ความขัดแย้งของสังคมก่อน โดยอาจเริ่มจากการเจรจา แต่หากประเด็นไหนตกลงกันไม่ได้ก็ควรหาทางออก โดยใช้การทำประชามติฟังเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนเป็นผู้ตัดสิน ทั้งหมด…เป็นเพียงเสียงสะท้อนส่วนหนึ่งจากคนไทยแม้จะเป็นเพียงเสียงเล็ก ๆ แต่ถือว่าเป็นคำตอบและความต้องการจากคนไทยอย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นเพียงความต้องการของพวกใครเท่านั้น!. ทีมเศรษฐกิจ

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : คนไทยจี้หาทางออกประเทศฝันเห็นรัฐบาลรักประชาชน

Posts related