นายชลิต ลิมปนะเวช นักการตลาดและอุปนายกฝ่ายวิชาการ สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า แม้หลายประเทศจะคิดว่าการทำรัฐประหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทำให้ความเชื่อมั่นจากชาวต่างชาติลดลง และชะลอรวมถึงยกเลิกการลงทุนในไทย แต่อย่างไรก็ตาม มั่นใจว่าในอนาคตเมื่อไทยพัฒนากลับสู่สภาพเดิม มุมมองของต่างชาติจะเปลี่ยนไป และกล้าที่กลับมาเข้าทุนตามเดิม ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเห็นได้ภายในไตรสาม3 นี้อย่างแน่นอน”ขณะนี้ ต่างชาติอาจจะได้ข้อมูลที่บิดเบือนจากสื่อต่าง ๆ ประกอบกับคิดว่า ประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่ถูกต้องพอ คสช.เข้ามา จึงไม่สนับสนุน แต่อย่างไรก็ตามเมื่อทุกอย่างเรียบร้อย แสดงให้เห็นถึงการบริหารประเทศที่โปร่งใส มีธรรมภิบาลของคสช. ซึ่งไม่แตกต่างกับการบริหารในระบอบประชาธิปไตย ความเชื่อมั่นจะคืนมาเอง”ด้านภาพรวมบรรยากาศการจัดกิจกรรมการตลาดในครึ่งปีหลังนี้ เชื่อว่าจะคึกคักมากขึ้น เนื่องจากสถานการณ์ภายในประเทศเริ่มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้นส่งผลให้ทุกธุรกิจเร่งทำกิจกรรมการตลาด เพื่อกระตุ้นยอดขาย ชดเชยส่วนที่หดหายไปในช่วงต้นปีดังนั้นมูลค่าการทำการตลาดปีนี้ จะตกว่าปีที่ผ่านมาแน่นอน เบื้องต้นคาดว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้น 10%ทั้งนี้ มูลค่าการทำการตลาด สามารถอ้างอิงได้จากมูลค่าของอุตสาหกรรมโฆษณา ซึ่งจากผลสำรวจของสถาบันวิจัย บริษัท เดอะ นีลเส็น คอมปะนี (ประเทศไทย) รายงานว่าอุตสาหกรรมโฆษณาปี 56 เติบโตเพียง 1% เป็นมูลค่า115,029 ล้านบาทสำหรับธุรกิจที่จะเร่งทำกิจกรรมอย่างโดดเด่น ได้แก่ ธุรกิจค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะบริษัทใหญ่ที่เป็นผู้นำในแต่ละธุรกิจเนื่องจากปีที่ผ่านมาไม่สามารถทำยอดขายได้ตามเป้าหมายจึงต้องพยายามผลักดันยอดขายปีนี้ให้เติบโตชดเชยปีก่อนรวมถึงต้นปีนี้ ซึ่งสื่อที่จะได้รับความนิยมมากที่สุดคือโทรทัศน์ และสื่อออนไลน์ขณะที่สื่อสิ่งพิมพ์ โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ จะได้รับความนิยมน้อยลงจนหายไปในที่สุดนายเกรียงกานต์ กาญจนะโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัทอินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจอีเว้นท์ กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทได้รับผลกระทบจากลูกค้าที่เป็นบริษัทข้ามชาติ โดยเฉพาะในประเทศแถบตะวันตก ที่ยกเลิกงานที่เตรียมจะจัดขึ้นในปีนี้ ซึ่งมีมูลค่า 100 ล้านบาทลง หลังคสช. เข้ามาดูแลประเทศ จากก่อนหน้านี้ ที่มีการชุมนุมทางการเมือง ลูกค้ายังลังเลใจ และชะลอการจัดกิจกรรมออกไป เนื่องจากคาดว่าการชุมนุมจะยุติ และการสถานการณ์จะจบลง”ชาวตะวันตกค่อนข้างถือสากับการทำรัฐประหาร ทำให้ความเชื่อมั่นที่มีต่อไทยลดลง ลูกค้าจึงยกเลิกงานใหญ่ ๆ ไปเกือบหมด ซึ่งลูกค้าต่างชาติมีสัดส่วน 10% ของลูกค้าทั้งหมด ขณะที่ลูกค้าชาวเอเชีย หรือกลุ่มที่เคยลงทุนในไทย ยังคงเชื่อมั่นที่จะเดินหน้าทำธุรกิจต่อไป เนื่องจากคุ้นชิน และเข้าใจสถานการณ์ในไทยจึงไม่กระทบเท่าไร”แต่ทั้งนี้ ด้านลูกค้าชาวไทยกลับรู้สึกมั่นใจมากขึ้น และพร้อมจะกลับมาเดินหน้าทำธุรกิจต่อไปเนื่องจากคสช.เข้ามาแก้ไขและจัดการปัญหาในประเทศ จนเริ่มเป็นระเบียบ โดยขณะนี้ลูกค้าเอกชนซึ่งมีสัดส่วน 70% ของลูกค้าชาวไทยที่เคยลังเลใจและเลื่อนการจัดกิจกรรมการตลาดหรืออีเว้นท์ก็ตัดสินใจเริ่มทำกิจกรรมกันแล้วขณะที่ลูกค้าราชการซึ่งเป็นอีก 30% ของลูกค้าชาวไทย คาดว่าจะไม่สามารถจัดกิจกรรมการตลาดได้เลย เนื่องจากเมื่อคสช.เข้าไปควบคุม แผนการที่ถูกวางไว้โดยทีมงานเดิมก็อาจจะไม่ต่อเนื่อง หรือล้าช้าออกไปโดยคาดว่าจะต้องรอจนกว่ามีการแต่งตั้งรัฐบาลใหม่ และรอนโยบายที่จะออกมาอีกครั้ง อย่างไรก็ตามบริษัทยังยืนยันคงเป้าหมายรายได้ตามแผนเดิมที่2,000 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 10%

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : คาดเชื่อมั่นต่างชาติฟื้นไตรมาส3

Posts related