ต้องเรียกว่า ณ เวลานี้…ประเทศไทยตกอยู่ในอาการ “เคราะห์ซ้ำกรรมซัด” หลังจากที่เกิดความแตกแยกอย่างชัดเจนขึ้นในสังคม จนทำให้ทั่วโลกจับตาเพราะการชุมนุมที่ยืดเยื้อมานานร่วม 4 เดือนแล้วแต่ยังหาทางออกไม่ได้  ส่งผลให้ประเทศต้องเผชิญกับความเสี่ยงสารพัด  โดยเฉพาะความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการลงทุนภาครัฐ การลงทุนของเอกชน การกิน การใช้จ่าย หดหายลดน้อยถอยลงไปอย่างน่าใจหาย ที่สำคัญจำนวนนักท่องเที่ยวก็เริ่มลดน้อยถอยลงเพราะความเชื่อมั่นในประเทศกำลังหดหาย ด้วยเหตุปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ทำให้บรรดาสำนักพยากรณ์ต่างออกมาปรับเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจไปในทิศทางเดียวกันคือต่ำกว่า 3% แน่นอน เผลอ ๆ หากทุกอย่างยังไม่มีอะไรดีขึ้นอาจเติบโตได้ต่ำกว่าปี 56 ที่เติบโตเพียง 2.9% ด้วยซ้ำไป จากอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ที่ตกต่ำถึง 2 ปีติดเช่นนี้ … จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่บรรดาสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น “สแตนดาร์ดแอนด์พัวร์ส หรือเอสแอนด์พี” หรือ “มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส” หรือแม้แต่ฟิทช์ เรทติ้งส์  ต่างออกมาจับจ้องสถานการณ์การเมืองไทยอย่างใกล้ชิด และอาจนำไปสู่การปรับลดเครดิตไทยในอนาคตก็เป็นไปได้ ด้วยความกังวลที่เริ่มทวีคูณ…หลังจากพ้นวันเลือกตั้ง ส.ส.เมื่อวันที่ 2 ก.พ. ที่บรรดากลุ่มผู้ชุมนุมได้เรียกร้องให้เกิดการปฏิรูปประเทศอย่างจริงจัง ส่งผลให้การเลือกตั้งของไทยไม่สามารถจัดได้ครบทุกเขต และยังไม่หมดแค่นั้น ปัญหาจากโครงการประชานิยม “รับจำนำข้าว” จากการบริหารงานของรัฐบาลที่ผิดพลาด จนไม่สามารถหาเงินจ่ายชาวนาได้ ยังทำให้สถาบันจัดอันดับต่างออกบทวิเคราะห์เตือนถึงความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งเป็น “จุดอ่อน” ของความน่าเชื่อถือ เพราะหากย้อนกลับไปในช่วงที่ผ่านมา การเปลี่ยนรัฐบาลบ่อยครั้งของไทย เริ่มตั้งแต่ปี 49 ได้ส่งผลกระทบต่อการปฏิรูปโครงสร้างให้ต้องล่าช้าออกไป และเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล ที่เริ่มบั่นทอนและเป็นข้อจำกัดต่อการเติบโตของเศรษฐกิจด้วย แม้ที่ผ่านมา “เอสแอนด์พี” ยังเลือกคงเครดิตของไทยไว้ เพราะสถานะภาคต่างประเทศของไทยที่แข็งแกร่ง หนี้รัฐบาลอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ จึงเป็นปัจจัยสนับสนุนต่ออันดับความน่าเชื่อถือ โดยคงเครดิตทั้งตราสารหนี้ระยะยาว บีบีบีบวก และระยะสั้นสกุลเงินตราต่างประเทศ เอ ลบสอง แนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับมีเสถียรภาพ แต่เอสแอนด์พี ได้ระบุแนบท้าย ว่าจะติดตามความไม่แน่นอนทางการเมือง และการที่เศรษฐกิจมีรายได้ต่ำอย่างใกล้ชิด ที่อาจทำให้ความสามารถในการปกครองประเทศ ถดถอยลงไปมากกว่าที่สังเกตการณ์ไว้ช่วง 7 ปีก่อน  แม้การคงเครดิต เป็นเรื่องที่น่าดีใจ แต่ตราบใดที่การเมืองไม่ชัดเจน ก็ต้องรอดูต่อไปว่าไทยจะสามารถประคองเครดิตได้หรือไม่ ขณะที่ “ฟิทช์ เรทติ้งส์” ย้ำอย่างชัดเจนว่าหากการเผชิญหน้าทางการเมืองยังคงยืดเยื้อ อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยให้แย่ลง รวมถึงเครดิตก็ต้องปรับลดลงตาม เพราะการชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน จะกระทบต่อระบบธนาคารผ่านการชำระหนี้ ขณะที่การเลือกตั้งที่ยังไม่เสร็จสิ้น ส่อให้เกิดความเสี่ยงที่ส่งผล กระทบเชิงลบต่อการทำงานด้านเศรษฐกิจและเสถียรภาพทางการเงิน แม้เพดานเครดิตของไทย จะอยู่ในระดับ เอลบ ตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศของรัฐบาล เป็น บีบีบีบวก ตราสารหนี้ระยะสั้นสกุลเงินต่างประเทศ เป็น เอฟ 2 และตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินบาทของรัฐบาล ที่ระดับ เอลบ ฉะนั้นการเจรจาหาทางออกในด้านการเมือง ยังคงเป็นสิ่งที่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะหากลากยาวเกินไปจะกระทบในวงกว้างและอาจจะเกินเยียวยาได้ ด้าน “มูดี้ส์ฯ ” เอง ล่าสุด ก็มีแนวโน้มอาจปรับลดเครดิตของไทยลง หากการเมืองยังหาข้อสรุปไม่ได้ยืดเยื้อไปจนถึงครึ่งปีหลัง และความขัดแย้งทางการเมืองมีเพิ่มขึ้นและขยายตัวไปในวงกว้าง รวมถึงมีการชุมนุมที่รุนแรงขึ้นและมุ่งเป้าหมายให้เกิดผลกระทบโดยตรงต่อสินทรัพย์ทางเศรษฐกิจหรือก่อให้เกิดผลกระทบระยะยาวต่อภาคการท่องเที่ยวและการผลิต โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของต้นทุนในการระดมทุนของรัฐบาล จากปัจจุบันที่มูดี้ส์ยังยืนยันเครดิตของพันธบัตรรัฐบาลไทยไว้ที่ บีเอเอ 1 โดยมีแนวโน้มความน่าเชื่อถือที่มีเสถียรภาพ  เนื่องจากไทยมีพื้นฐานเครดิตที่โดดเด่นกว่าความไม่สงบทางการเมืองในประเทศที่เกิดขึ้นตั้งแต่มีการปฏิวัติเมื่อปี 49  ต้องยอมรับว่า ตลอดเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมาความน่าเชื่อถือของไทยอยู่ในระดับที่มั่นคง แต่จากเหตุการณ์ทางการเมืองที่ไม่ปกติ เพราะชุมนุมยาวนานต่อเนื่องหลายเดือน สถานที่ทางราชการถูกปิด รวมทั้ง ปัญหาการจำนำข้าว ที่สถาบันจัดอันดับหลายแห่งออกมาเตือนว่าสร้างภาระทางการคลังและกระทบต่อไทยในระยะยาว อาจส่งผลให้เครดิตไทยต้องถูกปรับลดลง… หากถึงเวลานั้นจริง … นั่นจะยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศที่กำลังลูกผีลูกคนในเวลานี้ดิ่งเหวลงไปอีก ไม่เพียงแค่นี้ ต้นทุนของประเทศก็จะเพิ่มมากขึ้นการระดมทุนในรูปแบบต่าง ๆ จะเพิ่มสูงขึ้นเป็นทวีคูณ แต่ทั้งหลายทั้งปวง จะไม่มีอะไรที่เลวร้ายไปกว่าการเดินเข้าสู่การเป็นประเทศที่ล้มเหลว ที่ไม่มีใครให้ความเชื่อถืออีกต่อไป! . วุฒิชัย มั่งคั่ง

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : จับตาไทยเสี่ยงถูกลดเครดิตพิษการเมืองไม่มีทางออก..

Posts related