แม้ว่าสงครามเย็นจะล่มสลายไปพร้อมกับกำแพงเบอร์ลินในปี ค.ศ. 1989 แต่ความสัมพันธ์ของสองมหาอำนาจทางทหารของโลกระหว่างรัสเซียและอเมริกาในศตวรรษที่ 21 นี้ก็ยังคงไม่ราบรื่น มีความไม่ลงรอยกันออกมาให้เห็นอยู่เนือง ๆ โดยหนึ่งในนั้นก็คือเรื่องนายเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน บุคคลที่รัฐบาลสหรัฐต้องการตัวมากที่สุดคนหนึ่งสโนว์เดนเป็นนักวิเคราะห์ข่าวกรองชาวอเมริกัน และเคยเป็นเจ้าหน้าที่ของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ (NSA) และหน่วยสืบราชการลับกลางแห่งสหรัฐ (CIA) เหตุผลที่ทำให้รัฐบาลสหรัฐต้องการตัวเขามากเพราะว่าสโนว์เดนเป็น ผู้ปล่อยข่าวโครงการการสอดส่องดูแลมวลชนลับสุดยอดของรัฐบาลสหรัฐและอังกฤษหลายต่อหลายโครงการ ซึ่งถ้าเป็นคนนอกแฉอาจจะยังไม่น่าเชื่อเท่าไหร่นัก แต่นี่เป็นคนในแฉเองเลยทำให้สิ่งที่เขาพูดมีน้ำหนักน่าเชื่อมากขึ้น โดยการออกมาเปิดเผยข้อมูลของสโนว์เดนครั้งนี้ถือเป็นการฝ่าฝืนความมั่นคงของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติ ศาสตร์สหรัฐเลยทีเดียว พอรัฐบาลสหรัฐประกาศตามล่าตัวเขา เขาก็ตัดสินใจหนี ครั้งแรกหนีไปที่ฮ่องกงแล้วค่อยเข้าไปที่รัสเซีย โดยในตอนแรกเขาปักหลักอยู่ที่อาคารผู้โดยสารในสนามบินกรุงมอสโกของรัสเซีย โดยเชื่อกันว่า เขาได้รับการคุ้มกันจากเจ้าหน้าที่ข่าวกรองรัสเซียด้วย เรียกว่า ทางการรัสเซียดูแลสโนว์เดนเป็นอย่างดีแถมยังปฏิเสธที่จะส่งตัวเขากลับไปให้รัฐบาลสหรัฐอีกต่างหาก แต่ประเด็นที่เกี่ยวโยงกับเรื่องเทคโนโลยีก็คือ ทันทีที่รู้ว่าสโนว์เดนจะลี้ภัยมาที่รัสเซีย ก็มีคนเสนองานด้านระบบคอมพิว เตอร์ให้เขาทันที และคนที่เสนองานให้สโนว์เดนก็ยังมีดีกรีเป็นถึงเจ้าพ่อด้านไอทีของรัสเซียที่มีชื่อว่า พาเวล ดูรอฟ (Pavel Durov) แฟนคอลัมน์วันพุธของผมพอจะคุ้นชื่อนี้ไหมครับ เพราะผมเคยพูดถึงบุคคลคนนี้ไปแล้วครั้งหนึ่งในบทความของผมที่ชื่อว่า จาก Facebook ของอเมริกา มาสู่ Vkontakte แห่งรัสเซียŽ พาเวล ดูรอฟ หรือที่ผมเคยเรียกว่าเป็น มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) แห่งประเทศรัสเซียนั่นล่ะครับ โดยเขาเป็นผู้ก่อตั้ง Vkontakte เครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของทวีปยุโรป (รองจาก Facebook) และเป็นเว็บไซต์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเว็บไซต์หนึ่งในประเทศรัสเซีย (และประเทศที่ใช้ภาษารัสเซีย) เจ้าของ Vkontakte นั้นเชื่อว่าสโนว์เดนคงจะรู้วิธีการเจาะข้อมูลต่าง ๆ บนเครือข่ายคอมพิวเตอร์เป็นอย่างดี เรียกว่าไม่ใช่แค่รู้ทางทฤษฎี แต่รู้เพราะเคยลงมือปฏิบัติจริงมาแล้ว เขาจึงเสนองานในตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีให้ทำที่สำนักงานใหญ่ของ Vkontakte ซึ่งตั้งอยู่ที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เมืองเดียวกับที่จัดการประชุมสุดยอดผู้นำระดับโลกของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ หรือ G20 ไปเมื่อเดือนก่อนนี่เองครับ ซึ่งถ้าตอนนั้นสโนว์เดนตกลงรับงานนี้ไป ไม่แน่ว่า บารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา อาจจะบังเอิญได้เจอสโนว์เดนในระหว่างการประชุมที่เมืองนี้ก็เป็นได้ เมื่อเร็ว ๆ นี้ พอดีผมได้มีโอกาสแวะไปชมสำนักงานใหญ่ของ Vkontakte ระหว่างการเดินทางไปนำเสนอผลงานวิจัยในงานประชุมวิชาการที่ประเทศรัสเซีย คำว่า สำนักงานใหญ่Ž ของบริษัทที่สร้างเครือข่ายสังคมที่ใหญ่ได้เป็นอันดับสองของทวีปยุโรป คุณผู้อ่านคงจะคิดว่าต้องเป็นตึกขนาดใหญ่มาก ๆ มีคนทำงานนับหมื่นคน แต่ผมบอกได้เลยครับว่าสำนักงานใหญ่ของ Vkontakte นั้นไม่ได้ใหญ่โตอย่างที่หลายคนคิด จำนวนคนทำงานมีอยู่เพียงหลักร้อยคนเท่านั้น ซึ่งถ้าคิดให้ดีบริษัททางด้านไอทีเกิดใหม่จะค่อนข้างแตกต่างจากบริษัทเทคโนโลยีในสมัยก่อนที่ต้องมีพนักงานเยอะ ๆ เพื่อช่วยกันขับเคลื่อนองค์กร ในปัจจุบันจำนวนพนักงานมาก ๆ นั้นไม่จำเป็นเสมอไปแล้ว ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเลยก็คือ Instagram ซึ่ง ณ ตอนที่ขายให้ทาง Facebook มีพนักงานเพียงแค่ 13 คนเท่านั้น แต่กลับขายได้ในราคามากถึง 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3 หมื่นล้านบาท เรียกว่าถ้าหารจำนวนเงินต่อจำนวนพนักงานแล้ว พนักงานแต่ละคนก็รวยกันถ้วนหน้าเลยทีเดียว สำนักงานของ Vkontakte แม้ว่าจะไม่ได้ใหญ่โต แต่ก็ถือว่าสวยงามมากครับ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองบนถนน Nevsky Prospekt ที่มีชื่อเสียงที่สุดถนนหนึ่งของเมืองเซนต์ปี เตอร์สเบิร์ก โดยอยู่ชั้นบนของตึก Singer Building ที่สง่างาม ผมเองยังไม่มีโอกาสได้แวะไปชมสำนักงานใหญ่ของ Facebook สักที ไว้ถ้ามีโอกาสได้ไปเมื่อไหร่ จะนำกลับมาเล่าสู่กันฟังนะครับว่าสำนักงานใหญ่ของ Facebook จะเหมือนหรือต่างกับสำนักงานใหญ่ของ Vkontakte บ้าง. ผศ.ดร.ชุติสันต์ เกิดวิบูลย์เวช หัวหน้าภาควิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยรังสิต chutisant.k@rsu.ac.th

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : จากเจ้าพ่อไอทีแห่งรัสเซีย สู่นักเจาะข้อมูลแห่งอเมริกา – รอบรู้ไอที รอบโลกเทคโนโลยี

Posts related