นักวิชาการด้านโรคอ้วน ชี้ขึ้นภาษีเครื่องดื่มให้ความหวาน จังก์ฟู้ด เป็นแนวทางช่วยลดโรคอ้วนได้ ชู แม็กซิโก ตัวอย่างหลังทำภาษีสำเร็จหวังแก้ปัญหาอ้วนล้นเมือง ขณะที่ไทย ภาษีสวนทางโลก น้ำตาลสูง ราคาต่ำ ชงแก้กฎหมายคิดภาษีตามปริมาณน้ำตาล เมื่อวันที่ 11 ก.พ. ที่ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ในการประชุมเรื่อง “การขึ้นภาษีเครื่องดื่มที่มีรสหวาน” ศ.ดร.แบร์รี ป๊อปกิน (Prof. Barry Popkin) อาจารย์ภาควิชาโภชนาการศาสตร์ สาขาโภชนาการระบาดวิทยา มหาวิทยาลัยนอร์ธแคโรไลนา และผู้อำนวยการศูนย์สหวิทยาการโรคอ้วนแชปเพิลฮิลล์ กล่าวว่า สถานการณ์ของโรคอ้วนปัจจุบันพบว่า มีการเปลี่ยนแปลงจากปัญหาการขาดสารอาหารเป็นการมีโภชนาการเกินในทุกภูมิภาคทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่มีรายได้ปานกลางและต่ำ ประชาชนมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น 8-10 กิโลกรัม ในช่วง 10-18 ปีที่ผ่านมา เนื่องมาจากการมีกิจกรรมทางกายน้อยแต่บริโภคอาหารที่มีพลังงานสูงเพิ่มมากขึ้น“มาตรการที่เกี่ยวข้องกับภาษีและราคาเป็นมาตรการที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่า มีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาโรคอ้วน และสร้างรายได้ในการส่งเสริมสุขภาพที่ดีให้แก่ประชาชนในประเทศที่มีรายได้สูง เช่น สหรัฐอเมริกา การเพิ่มราคาน้ำอัดลมขึ้น 10% ทำให้มีการดื่มน้ำอัดลมลดลง 8.1% ในขณะที่ ประเทศที่มีรายได้ปานกลางและต่ำอย่างเม็กซิโกก็มีการเก็บภาษีในเครื่องดื่มที่มีรสหวาน 10% และจัดเก็บภาษีอาหารขยะ 8% โดยนำเงินภาษีที่ได้รับเพิ่มขึ้นอุดหนุนอาหารสำหรับในโรงเรียน”ศ.ดร.แบร์รี่ กล่าว ศ.ดร.แบร์รี่ กล่าวว่า จากหลักฐานทางวิชาการพิสูจน์ได้ชัดเจนว่า การซื้ออาหารขยะและเครื่องดื่มที่มีรสวาน มีผลกระทบต่อดัชนีมวลกายและยังเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง โดยพบว่าประเทศที่มีการใช้ภาษีควบคุมอาหารเครื่องดื่มเพื่อป้องกันโรคอ้วน มีการดำเนินการไปมากแล้วในประเทศที่มีเศรษฐานะสูง เช่น ประเทศแถบสแกนดิเนเวีย ฝรั่งเศส อเมริกา และในประเทศที่มีรายได้ปานกลาง หรือรายได้ต่ำ เช่น เม็กซิโก เอกวาดอร์ สิงคโปร์ และหมู่เกาะแปซิกฟิกตะวันตก ก็มีความสนใจในมาตรการนี้เพิ่มขึ้น โดยพบว่าประเทศเม็กซิโก ที่เพิ่งออกกฎหมายในช่วงนี้ต้นปีนี้ เพราะพบว่าประชากรมีอัตราการดื่มน้ำอัดลมต่อหัวสูงมาก ในขณะที่ประชากรอ้วนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเด็ก ผู้หญิง และกลุ่มที่ยากจน จึงเป็นที่มาของการขึ้นภาษีอาหารจังก์ฟู้ดและเครื่องดื่มให้ความหวาน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของราคาจะทำให้โอกาสเกิดโรคอ้วนลดลง และไม่ได้กระทบเรื่องการว่างงานแบบที่ภาคธุรกิจกล่าวอ้างซึ่งมาตรการที่เกี่ยวข้องกับภาษีและราคาเป็นมาตรการที่น่าสนใจที่สุดและสามารถทำได้จริงในการจัดการปัญหาด้านสุขภาพด้าน ทพ.วีระศักดิ์ พุทธาศรี นักวิชาการ เครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน กล่าวว่า น้ำตาลในน้ำอัดลมเป็นแหล่งพลังงานส่วนเกินที่ทำให้เกิดปัญหาน้ำหนักเกินและอ้วนของคนไทย รวมทั้งเกี่ยวข้องกับโรคหลายชนิด เช่น โรคฟันผุ กระดูกกร่อน โดยในน้ำอัดลม 1 กระป๋อง มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบประมาณ 10-14 ช้อนชา น้ำอัดลมทุกกระป๋องจึงเพิ่มโอกาสเป็นโรคอ้วนได้ร้อยละ 1-2 ประกอบกับเด็กในปัจจุบันมักไม่ค่อยออกกำลังกายแต่ติดเกม โทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต รวมทั้งกินขนม นมหวาน นมเปรี้ยวและน้ำอัดลม มากเกินกว่าที่ควร ซึ่งทำให้มีไขมันสะสมและเป็นโรคอ้วนได้ง่าย ในขณะที่ข้อมูลจากคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลชี้ให้เห็นว่า ในปี 2540 คนไทยมีปริมาณเฉลี่ยการบริโภคน้ำตาล 19.3 ช้อนชาต่อวัน มีแนวโน้มปริมาณการบริโภคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเฉลี่ยเพิ่มเป็น 23.1 ช้อนชาต่อวันในปี 2553 อีกทั้งสัดส่วนของการบริโภคน้ำตาลทางอ้อมมีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ เปลี่ยนแปลงจากร้อยละ 28.9 ในปี 2540 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 45.6 ในปี 2553“ปัจจุบันประเทศไทยคิดภาษีเครื่องดื่มประเภทน้ำอัดลม น้ำผลไม้โดยเก็บจากราคาประเมินหรือปริมาณ หากคำนวณแล้วแนวทางใดสูงกว่าจะใช้แนวทางนั้น และยังมีบางประเภทได้รับการยกเว้นภาษี โดยเฉพาะชาเขียวที่มีปริมาณน้ำตาลสูง แต่ความจริงแล้ว ผลกระทบจากเครื่องที่เติมน้ำตาลสูงนั้นมีผลต่อสุขภาพมาก จึงจำเป็นต้องมีการพิจารณา โดยการแก้ไขระเบียบกรมสรรพสามิต เพื่อปรับปรุงวิธีการคิดภาษีตามปริมาณน้ำตาล ซึ่งจากงานวิจัยพบว่า น้ำอัดลมในประเทศไทยนั้น มีปริมาณแคลอรี่ น้ำตาล โซเดี่ยมในระดับสูง แต่กลับมีราคาต่ำเมื่อเทียบกับญี่ปุ่น สิงคโปร์ พบว่ามีราคาสูงกว่ามากในขณะที่ปริมาณน้ำตาลต่ำ และไม่มีการเติมโซเดี่ยม ซึ่งมาตรการทางราคาจะมีผลให้ผู้ประกอบการปรับตัว และผลดีที่ได้คือประชาชนจะมีผลกระทบต่อสุขภาพน้อยลง ซึ่งจะมีการนำข้อเสนอพร้อมหลักฐานทางวิชาการเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ พิจารณาต่อไป” ทพ.วีระศักดิ์ กล่าว.

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : ชงไทยคิดภาษีเครื่องดื่มให้ความหวาน-จังก์ฟู้ด แม็กซิโกตัวอย่างลดอ้วน

Posts related