นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน พ.ค. 57 อยู่ที่ 70.7 เพิ่มจากเดือนเม.ย.ที่อยู่ระดับ 67.8 ซึ่งเป็นการปรับขึ้นครั้งแรกในรอบ 14 เดือน เนื่องจากผู้บริโภคมีความมั่นใจทางเศรษฐกิจและสถานการณ์ทางการเมืองที่มีเสถียรภาพมากขึ้น หลังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามาบริหารงาน และการเร่งจ่ายเงินโครงการรับจำนำข้าวให้แก่ชาวนา 92,000 ล้านบาท ส่งผลให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจจำนวนมากทั้งนี้ หลังจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคเริ่มกลับมาฟื้นตัวถือว่าเป็นสัญญาณของเศรษฐกิจไทยอย่างมาก โดยปัจจัยหลักที่จะช่วยผลักดันในการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในครึ่งหลังของปีคือ นโยบายการลงทุนของรัฐบาล, การจับจ่ายเทศกาลฟุตบอลโลก และ นโยบายการช่วยเหลือชาวนา ซึ่งจะมีเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 200,000 -300,000 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยผลักดันให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยในครึ่งหลังของปีเพิ่มจากเดิมอีก 1.1.5%“หลังจากความชัดเจนทางการเมืองกลับมาดีขึ้นคาดว่าในครึ่งหลังของปีเศรษฐกิจขยายตัวในระดับ 4-5% และตลอดทั้งปีน่าจะอยู่ในระดับ 2-3% จากเดิมที่หลายฝ่ายวิตกว่าอาจลดลงเหลือ 1-2% อย่างไรก็ตามทิศทางเศรษฐกิจไทยคงต้องดูเดือนมิ.ย.เป็นต้นไป โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลบอลโลกที่จะถึงนี้ จะเป็นตัวเช็คความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เพราะหากมีการจับจ่ายใช้สอยคึกคักก็จะเป็นแรงหนุนเศรษฐกิจไทย”สำหรับกรณีที่ คสช.มีการตรึงราคาน้ำมันดีเซล ก๊าซแอลพีจี และโครงการธงฟ้าต่อนั้น มองว่า เป็นเรื่องที่ควรทำในระยะสั้น 3-6 เดือน เพื่อดูแลภาระค่าครองชีพให้ประชาชน ซึ่งจะเพิ่มความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภค เนื่องจากทำให้มีความรู้สึกว่ามีเงินเหลือในกระเป๋ามากขึ้น เพราะค่าใช้จ่ายไม่สูงขึ้น แต่หลังจากนี้ควรจะปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด และ คสช.จะต้องรักษาสมดุลของความเชื่อมั่นให้ดีขึ้น ซึ่งตามแผนโรดแมปด้านเศรษฐกิจทั้ง 10 ข้อของคสช.สามารถเคลื่อนได้เร็วก็จะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจไทยอย่างไรก็ดี ในวันที่ 19 มิ.ย.นี้ ทางหอการค้าไทยจะมีการปรับประมาณการตัวเลขทางเศรษฐกิจอีกครั้ง หลังจากมีความชัดเจนในเรื่องของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แล้วนายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ขณะนี้หอการค้าไทยอยู่ระหว่างการพบปะพูดคุยกับหอการค้าต่างประเทศ เพื่อทำความเข้าใจและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และคู่ค้าในประเทศต่างๆ เพื่อรวบรวมนำไปเสนอให้กับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เบื้องต้นนักลงทุนต่างชาติเห็นว่า ควรปรับปรุงระบบศุลกากรส่งออกให้รวดเร็วและโปร่งใสมากขึ้น รวมทั้งเรื่องของการทำใบอนุญาตการทำงาน (เวิร์ค พอมิส) ต้องแยกออกจากกันระหว่างแรงงานชายแดนกับแรงงานที่เข้ามาลงทุน เพื่ออำนวยความสะดวกในการค้า การลงทุนระหว่างกัน

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคฟื้นในรอบ 14 เดือน

Posts related