นายนริศ ชัยสูตร อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า กระทรวงยุติธรรมได้ขอให้กรมฯ จัดหาพื้นที่ราชพัสดุ เพื่อย้ายเรือนจำ 42 แห่งทั่วประเทศออกไปนอกเมือง โดยใช้งบประมาณ 40,000 ล้านบาท เพื่อแก้ปัญหานักโทษล้นคุก ซึ่งกรมฯ ได้มอบหมายให้บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด ไปศึกษาว่าพื้นที่ราชพัสดุแห่งใดที่เหมาะสม คาดว่าต้องใช้เวลาในการศึกษาระยะหนึ่งก่อนที่จะสรุปแผนที่ชัดเจนได้ นอกจากนี้ศาลปกครองต้องการสร้างสำนักงานแห่งที่ 2 ขณะที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญา และการค้าระหว่างประเทศกลาง และศาลล้มละลายกลาง ต้องการให้กรมฯ จัดหาสถานที่สำนักงานแห่งใหม่ เพื่ออยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน โดยกรมฯพร้อมที่จะเข้าไปช่วยเหลือจัดหาสถานที่ให้กับหน่วยงานราชการ “นักโทษล้นเรือนจำมานานแล้ว หากใครลุกไปห้องน้ำ กลับมาที่เดิมของตนเอง จะถูกคนอื่นแย่งที่นอนไป โดยรัฐอยากแก้ปัญหานี้มานานแล้ว แต่ต้องใช้เงินหลายหมื่นล้านบาท จึงให้บริษัทลูกไปศึกษาข้อมูลว่าแต่ละพื้นที่ มีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน หลังจากนั้นจะต้องเสนอครม.พิจารณาอนุมัติการก่อสร้างเรือนจำใหม่ และหากดำเนินการได้สำเร็จจะช่วยระบายนักโทษที่เป็นปัญหาในปัจจุบันได้ในระดับหนึ่ง” นายสุเมธ ดำรงชัยธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด กล่าวว่า จะต้องลำดับความสำคัญเรือนจำในแต่ละแห่งก่อนว่า เรือนจำแห่งใดพร้อมที่ต้องย้ายก่อนหลัง หากเรือนจำแห่งใดมีนักโทษล้นคุก ก็จำเป็นต้องดำเนินการก่อน เบื้องต้นเห็นว่ามีเรือนจำ 26 แห่ง ที่พร้อมจะย้ายไปสถานที่ใหม่ คาดว่าใช้งบประมาณ 25,000-30,000 ล้านบาท จากทั้งหมด 42 แห่ง ส่วนเรือนจำที่เหลือที่ยังไม่มีความพร้อม ก็ให้ชะลอไว้ก่อน เพราะการสร้างเรือนจำแต่ละแห่งต้องทำอย่างรอบคอบ เนื่องจากต้องใช้เงินลงทุนสูง และพื้นที่มีความสลับซ้ำซ้อนมาก ทั้งนี้นี้ต้องหารือในระดับนโยบายว่า งบประมาณที่ใช้ในการก่อสร้างเรือนจำมีประมาณเท่าไหร่ และรัฐต้องจัดทำงบผูกพันหรือไม่ เพื่อไม่ให้กระทบต่องบประจำ “เราพร้อมที่จะหารือกับกระทรวงการคลัง และกระทรวงยุติธรรม เกี่ยวกับงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินโครงการ เพราะต้องการรู้รายละเอียดที่ชัดเจน หากรัฐมีงบประมาณไม่เพียงพอ บริษัทก็ต้องหาแนวทางระดมเงินมาลงทุนก่อนได้ เนื่องจากการก่อสร้างศูนย์ราชการก่อนหน้านี้บริษัทฯ ก็ระดมทุนจากสาธารณะ อย่างไรก็ตาม ยังไม่เห็นด้วยที่จะย้ายเรือนจำลาดยาว เพราะต้องใช้เงินเป็นหมื่นล้านในการลงทุนก่อสร้างเรือนจำแห่งใหม่ และที่สำคัญยังไม่ได้ศึกษารายละเอียดว่า หากย้ายไปแล้วพื้นที่เรือนจำเดิมจะพัฒนาเชิงพาณิชย์ในด้านใดบ้างที่ให้คุ้มทุน ซึ่งยังไม่มีแผนที่ชัดเจน” นายชาญณัฏฐ์ แก้วมณี รองอธิบดีกรมธนารักษ์ กล่าวว่า ได้ให้เจ้าหน้าที่ศึกษาว่ามีพื้นที่ใดที่หน่วยงานราชการเช่าแล้วใช้พื้นที่ไม่คุ้มค่า หรือปล่อยให้เป็นพื้นที่ว่างเปล่าหรือไม่ เพื่อจะได้ขอคืนพื้นที่มาใช้ประโยชน์ หรือนำพื้นที่มาพัฒนาและหารายได้ในอนาคต โดยปัจจุบันพื้นที่ราชพัสดุทั่วประเทศมี 12.5 ล้านไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่หน่วยงานราชการเช่า 98.6% และที่เหลือให้เอกชนเป็นผู้เช่า สำหรับกรณีที่กระทรวงคมนาคมมีแผนนำพื้นที่บริเวณมักกะสันของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) 498 ไร่ พัฒนาเพื่อแลกกับหนี้ 80,000 ล้านบาทนั้น ได้ให้เจ้าหน้าที่ทำการรังวัดที่ดิน เพื่อประเมินราคาว่า หากทำเป็นคอมเพล็กซ์จะมีมูลค่าเท่าไหร่ คาดว่าจะใช้เวลา1 เดือน จากนั้นจะกำหนดเงื่อนไขรายละเอียดของโครงการต้องใช้เวลาอีก 3-4 เดือนถึงจะได้ข้อสรุป ว่าจะให้เช่ากี่ปีถึงคุ้มค่า และเป็นประโยชน์มากสุด นอกจากนี้นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลังขอให้จัดสรรพื้นที่ทำสวนสาธารณะเพื่อสังคม ศูนย์วัฒนธรรม พิพิธภัณฑ์ เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวถือเป็นศูนย์กลางธุรกิจและการขนส่งของประเทศ ส่วนการพัฒนาที่ดินบริเวณหมอชิต 63 ไร่นั้น จะเปิดให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนตามพรบ.ร่วมลงทุน พ.ศ. 2535 ซึ่งมีแนวทางพิจารณา 3 แนวทางคือ การให้เอกชนรายเก่าเข้ามาประมูล หรือเปิดเอกชนรายใหม่เข้ามาดำเนินการ หรือปรับเปลี่ยนเงื่อนไขทีโออาร์ใหม่ อย่างไรก็ตาม แนวทางใดเหมาะสมนั้นขึ้นอยู่กับคณะกรรมการฯ.

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : นักโทษล้นคุก เร่งหาที่สร้างเรือนจำเพิ่ม

Posts related