รายงานข่าวจากบริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ซ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวมอุตสาหกรรมกองทุนรวมในปี 56 ว่า มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (เอ็นเอวี)ทะลุ 3 ล้านล้านบาท หรือเติบโตถึง 17.67% ซึ่งทรัพย์สินที่เติบโตโดดเด่นสุด คือ กองทุนหุ้น เพราะมีเงินทุนใหม่เข้ามาในอุตสาหกรรมมากกว่า 140,000 ล้านบาท เป็นกองทุนหุ้นทั่วไป 50,000 ล้านบาท กองทุนทริกเกอร์ฟันด์ หรือกองทุนที่กำหนดเป้าหมายการลงทุนไว้แล้ว 55,000 ล้านบาท กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) 21,700 ล้านบาท และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (อาร์เอ็มเอฟ)-อีควิตี้ 12,000ล้านบาท ส่วนกองทุนที่เติบโตรองลงมา คือกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ที่ทำยอดเงินลงทุนได้สูงถึงกว่า 120,000 ล้านบาท รวมถึงกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งถือเป็นปีสุดท้าย ที่จะขอยื่นเรื่องเพื่อจดทะเบียนเปิดกองทุนได้ จึงทำให้ปีที่ผ่านมา มีความคึกคักมาก เพราะมีกองทุนใหม่เกิดขึ้น 7 กองทุน รวมมูลค่าทรัพย์สินสุทธิกว่า 90,000 ล้านบาท ส่วนกองทุนแอลทีเอฟและอาร์เอ็มเอฟนั้น ถือว่าโดดเด่นกว่าทุกปี เนื่องจากมีเงินไหลเข้าจำนวนมาก จนทำสถิติใหม่ ซึ่งมีเงินไหลเข้าแอลทีเอฟกว่า 21,700 ล้านบาท และอาร์เอ็มเอฟกว่า 18,000 ล้านบาท ขณะเดียวกัน ยังพบว่าพฤติกรรมการลงทุนของการลงทุนในกองทุนทั้ง 2ประเภทนี้ ก็เริ่มเปลี่ยนไป โดยนักลงทุนเริ่มจับจังหวะทยอยลงทุนระหว่างปีมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่ยังนิยมลงทุนในช่วงท้ายของปี สำหรับกองทุนประเภททริกเกอร์ฟันด์ มีการออกกองทุนที่ทำสถิติใหม่กว่า 90 กองทุน มูลค่าทรัพย์สินสุทธิกว่า 63,000 ล้านบาท โดยที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือทริกเกอร์ฟันด์ที่ลงทุนในหุ้นไทยกว่า 80% แต่กองทุนส่วนใหญ่กว่า 70% นั้นทำผลตอบแทนไม่ได้ตามเป้าหมาย ทำให้ขาดทุนติดลบเฉลี่ย 10-15% และที่เหลืออีก 30%คือกองทุนที่ทำผลตอบแทนได้ตามเป้าหมาย เป็นบวก 8-10% ส่วนใหญ่จ ะเปิดตั้งแต่ช่วงไตรมาสแรกของปี และปิดได้ภายในครึ่งแรกของปี  อย่างไรก็ตามหาก พิจารณาผลการดำเนินงานกองทุนรวมประเภทต่าง ๆ พบว่า กองทุนหุ้นที่ลงทุนในประเทศ ทำผลตอบแทนเฉลี่ยติดลบทั้ง 2กลุ่ม ทั้งกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ โดยมีผลตอบแทนเฉลี่ยติดลบ 3.12% รวมถึงกลุ่มหุ้นขนาดกลางและเล็ก ที่มีผลตอบแทนเฉลี่ยติดลบ 4.36% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรก ที่หุ้นขนาดใหญ่ยังให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงที่สุดถึง16.88% ขณะที่กลุ่มหุ้นขนาดกลางและเล็ก ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 17.29% ส่วนกลุ่มที่ลงทุนในหุ้นทั่วโลก ทำผลตอบแทนเฉลี่ยได้สูงถึง 24.93% และทำผลตอบแทนเฉลี่ยได้เป็นบวกตลอดทั้งปี ซึ่งสอดคล้องกับผลตอบแทนของดัชนีในกลุ่มดังกล่าว รองลงมา คือ กลุ่มกองทุนน้ำมันที่ทำผลตอบแทนเฉลี่ยได้ 12.02% โดยกว่าครึ่งหนึ่งมาจากกำไรจากการอ่อนตัวของค่าเงินบาท ส่วนกลุ่มตราสารหนี้ที่ลงทุนภายในประเทศ ทำผลตอบแทนได้ดีกว่าที่ลงทุนต่างประเทศขณะที่กองทุนที่แย่ที่สุด คือกองทุนทองคำ ที่ผลตอบแทนเฉลี่ยติดลบถึง 24.58% 

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : ปี 56กองทุนรวมเติบโต 17.67%

Posts related