นายวัลลภ วิตนากร รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า หากสถานการณ์ทางการเมือง ยังยืดเยื้อต่อไปถึงเดือนพ.ค.นี้ คาดว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ปี 57 จะขยายตัวโตเพียง 0-1% เท่านั้น แต่หากเม.ย.นี้เกิดความรุนแรงผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจจะกระทบต่ออัตราการขยายตัวของจีดีพีจะรุนแรงมากขึ้น และอาจถึงขั้นติดลบได้ และภาคเอกชน จะต้องปรับแผนธุรกิจใหม่อีกครั้ง “ สิ่งที่เรากังวล คือ ในเดือน เม.ย.นี้ อย่าเป็นเมษาฮาวาย คือ มีการชุมนุมจากหลายส่วน และนำไปสู่ความวุ่นวาย หากมีการปะทะและใช้ความรุนแรง จะยิ่งฉุดความเชื่อมั่นการลงทุนและการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งลำพัง 2 ส่วนนี้ปัจจุบันก็แย่อยู่แล้ว ยิ่งหากรุนแรง และการเมืองไม่รู้จะจบอย่างไรก็จะทำให้การลงทุนบางส่วนอาจตัดสินใจไปที่อื่น แต่ที่ยังไม่ปรับคงต้องปรับแผนธุรกิจกันใหม่แน่นอน หรือแม้แต่ที่ปรับแล้วก็อาจจะต้องปรับใหม่เพิ่มอีกรอบก็ได้ ” สำหรับสถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน ส่งผลให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงมาก ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการผลิต โดยเฉพาะสินค้าที่เน้นตลาดในประเทศซึ่งยอดขายเฉลี่ยลดลง30-50% โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) พบว่า ยอดขายเฉลี่ยลดลงถึง 50%ซึ่งในส่วนของสินค้าอุปโภค บริโภคเอง ได้ปรับลด ชี้ให้เห็นถึงประชาชนมีการใช้จ่ายต่ำ คาดว่า ส่วนหนึ่งมาจากการที่ชาวนายังไม่ได้รับเงินจำนำข้าว โดยมองว่า ไตรมาส 2 การบริโภค ยังคงเพิ่มขึ้นไม่มาก เทียบกับไตรมาสแรก และหากสถานการณ์การเมือง ยังไม่มีสัญญาณที่ดีขึ้น อาจจะลดต่ำลงไปอีกส่วนความเชื่อมั่นการลงทุนแม้ว่า ยอดคำขอรับส่งเสริมการลงทุนไตรมาสแรก ยังมีมาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ต่ำกว่าไตรมาสแรกค่อนข้างมาก เพราะนักลงทุนชะลอการตัดสินใจ เพื่อรอดูทิศทางการเมือง โดยการลงทุน ยังมีเวลาพอที่จะตัดสินใจเปลี่ยนแปลง จะเห็นว่า การขยายกิจการใหม่ๆ จะหยุดชะงักไป เพื่อรอดูทิศทางการเมือง “ มองว่าส่งออกไตรมาสแรกคงไม่โตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และไตรมาส 2น่าจะขยายตัวจากไตรมาสแรกได้ระดับ 3% แต่เราเองก็ยังประเมินทั้งปีได้ยากคงต้องรอภาพการเมืองในช่วงเม.ย. และพ.ค.นี้ใหม่”

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : ผวาการเมืองแรงจีดีพีติดลบ

Posts related