แหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) เปิดเผยว่า ยอดขอรับส่งเสริมการลงทุน 11 เดือนของปี 56 (ม.ค.-พ.ย.) มีผู้ยื่นขอทั้งสิ้น 1,696 ราย เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนมีผู้ยื่นขอทั้งสิ้น 1,696 ราย ลดลง 181 โครงการ ส่วนเงินลงทุนมีทั้งสิ้น  791,000 ล้านบาท ลดลง  73,000 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว โดยโครงการที่ยื่นขอรับการส่งเสริม ฯ เป็นกิจการคนไทยถือหุ้น 100% จำนวน 621 โครงการ เพิ่มขึ้น 59 โครงการ ส่วนต่างชาติถือหุ้น 100% มี 643 โครงการ ลดลง 162 โครงการ และกิจการที่ร่วมทุนระหว่างคนไทยกับต่างชาติ 432 โครงการลดลง 78 โครงการ  ส่งผลให้ทั้งปีการยื่นขอการลงทุนไม่ถึงเป้า1ล้านล้านบาทที่ตั้งเป้าหมายไว้ ทั้งนี้ประเทศญี่ปุ่น ยังเป็นนักลงทุนสูงสุด ที่ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุน 551 โครงการ แต่ลดลง 159 โครงการ เมื่อเทียบกับปีก่อน อันดับ 2 เป็นการลงทุนจากยุโรป 150 โครงการ ลดลง 49 โครงการ  อันดับ 3 สิงคโปร์ ยื่น 89 กิจการ ลดลง 52 โครงการ อันดับ 4 สหัฐอเมริกายื่นขอ 72 โครงการลดลง 15 โครงการ  สำหรับกิจการที่นักลงทุนยื่นขอรับส่งเสริมฯยังกระจายอยู่ใน 7 ประเภทกิจการหลักๆ โดยกิจการบริการและสาธารณูปโภคมีการยื่นขอรับส่งเสริมฯสูงสุดที่  486 กิจการลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ยื่นขอ 501 โครงการ อันดับ 2 เป็นการลงทุนประเภทกิจการผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่ง 389 โครงการลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ยื่นขอ 478 โครงการ อันดับ 3 เป็นเกษตรกรรมและผลิตผลจากการเกษตร 296 กิจการเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ยื่นขอ 229 โครงการ นายอุดม วงษ์วิวัฒน์ไชย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)  กล่าวว่า  ทั้งปีคาดว่ายอดการขอรับส่งเสริมการลงทุนคงจะอยู่ประมาณ 900,000 ล้านบาท เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวเป็นสำคัญและคาดว่าจะมีผลถึงปี 57 ที่ยอดขอส่งเสริมน่าจะอยู่ที่ 900,000 ล้านบาทเช่นเดียวกับปีนี้    ส่วนกรณีปัญหาการเมืองไทยขณะนี้ยังไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนแต่อย่างใดแต่ยอมรับว่าหากปัญหายืดเยื้อก็อาจจะมีผลบ้างสำหรับนักลงทุนใหม่ๆ    

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : พิษเศรษฐกิจโลกฉุดยอดลงทุนหด

Posts related