รายงานข่าวจากศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจธนาคารทหารไทยหรือทีเอ็มบีแจ้งว่า  ได้ร่วมกับ ศูนย์บริหารความสัมพันธ์ลูกค้าเอสเอ็มอี(อาร์เอ็มซี) สำรวจความเชื่อมั่นผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอี ทั่วประเทศจำนวนกว่า 900 กิจการระหว่างเดือนต.ค.-ธ.ค.56พบว่า   ปัญหาการเมือง เป็นปัจจัยที่ผู้ประกอบการกังวลเพิ่มขึ้นสูงสุดโดยในเดือนต.ค.มีสัดส่วนประมาณ 6% แต่ในเดือนพ.ย.เพิ่มเป็น13% และเดือนธ.ค.เพิ่มเป็น 19%  ซึ่งสอดคล้องกับการชุมนุมทางการเมืองที่เริ่มรุนแรงมากขึ้นตั้งแต่ต้นเดือนพ.ย.เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันสำหรับพื้นที่เขตกรุงเทพฯ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการชุมนุมโดยตรงไม่ว่าจากการปิดถนน การเดินขบวน และความรุนแรงจากการปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่รัฐหลายครั้งจึงเป็นผลให้เอสเอ็มอีในเขตกรุงเทพฯ ที่มีความกังวลต่อปัจจัยการเมืองอยู่ก่อนแล้วที่14% ในเดือนต.ค.เพิ่มเป็น  32% ในเดือนธ.ค.แสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่ชัดเจนต่อความวุ่นวายทางการเมืองที่เกิดขึ้นต่อผู้ประกอบการในพื้นที่ ส่วนพื้นที่ต่างจังหวัดและภูมิภาคอื่น ๆ  จากเดือนพ.ย.อยู่ที่  2% เป็น 16% ในเดือนธ.ค.เช่นกัน  นอกจากนี้ เมื่อสอบถามเอสเอ็มอีต่อสภาวะธุรกิจตนเองใน3 เดือนข้างหน้าพบว่า จำนวนเอสเอ็มอี ที่คาดว่าธุรกิจตนเองจะแย่ลงมีจำนวนเพิ่มขึ้นจาก 7% ในเดือนต.ค. เป็น 14% ในเดือนธ.ค.  ซึ่งหากธุรกิจมีมุมมองต่อการดำเนินงานแย่ลงจะส่งผลต่อการใช้จ่ายการลงทุนและการจ้างงาน ซึ่งเป็นการซ้ำติมภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ซบเซา และถ้าเหตุการณ์ความขัดแย้งยังคงดำเนินต่อไปและขยายวงกว้างขึ้น จะกระทบต่อความกังวลและความเชื่อมั่นของธุรกิจเอสเอ็มอี  ซึ่งหากสามารถร่วมมือกันหาทางออกให้กับปัญหาความขัดแย้งได้เร็วจะทำให้เศรษฐกิจไทยจะสามารถก้าวไปข้างหน้าได้เร็วขึ้น

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : หวั่นการเมืองทำธุรกิจเอสเอ็มอีพัง

Posts related