นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้หลายฝ่ายเริ่มคลายกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองลงหลังจากติดตามพฤติกรรมของกลุ่มผู้ชุมนุมที่แกนนำม็อบตั้งใจจะชุมนุมอย่างสงบและไม่มีความรุนแรง ประกอบกับ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรียืนยันจะไม่มีการสลายม็อบเด็ดขาด ส่งผลให้บรรยากาศการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวไม่ได้รับความเสียหายมากนัก ดังนั้นศูนย์ฯ ประเมินว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปี 56 จะอยู่ในระดับ 3.3% อย่างไรก็ตามหากการเมืองไม่สามารถยุติลงด้วยดี และรัฐบาลอาจยุบสภา หรือนายกรัฐมนตรีลาออก ก็จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจต่างกัน คือ หากมีการเลือกตั้งใหม่ก็จะมีเม็ดเงินสะพัดในการจัดกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง 40,000-50,000 ล้านบาท ก็จะช่วยกระตุ้นการบริโภคในประเทศและช่วยพลักดันให้เศรษฐกิจปีนี้ขยับได้บ้าง ทั้งนี้หากนายกรัฐมนตรีลาออก และมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ พรรคเพื่อไทยก็จะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเหมือนเดิม เพราะพรรคประชาธิปัตย์มีคะแนนเสียงไม่เพียงพอ จะส่งผลให้รัฐบาลยังคงเป็นพรรคเดิม และมีนโยบายขับเคลื่อนเหมือนเดิม ซึ่งจะไม่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากนัก และปีหน้าเศรษฐกิจไทยก็จะโตได้ตามเป้าหมาย 5% “หากยุบสภาในช่วงที่คะแนนนิยมของรัฐบาลตกต่ำ ก็มีโอกาสให้พรรคประชาธิปัตย์ ได้เป็นรัฐบาลเหมือนกัน ซึ่งจะทำให้นโยบายการบริหารประเทศเปลี่ยนแปลง ก็ต้องดูต่อว่าจะมีนโยบายอย่างไร และมีผลต่อเศรษฐกิจอย่างไร แต่หากเลือกตั้งใหม่ได้พรรคเพื่อไทยกลับมาเป็นรัฐบาลเหมือนเดิมเชื่อว่าการขับเคลื่อนเศรษฐกิจก็สามารถดำเนินการได้ต่อเนื่องโดยเฉพาะโครงการลงทุน 2 ล้านล้านบาท” สำหรับข้อเสนอแนะต่อสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันพบว่าประชาชนส่วนใหญ่ต้องการให้รัฐบาลถอนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมอย่างเป็นรูปธรรมโดยไม่ให้มีโอกาสกลับเข้าสู่การพิจารณาได้อีก, ควรให้โอกาสประชาชนทุกลุ่มได้แสดงออกทางการเมืองอย่างเสรีภายใต้ระบอบประชาธิปไตย, รัฐไม่ควรใช่กำลังสลายชุมนุม, รัฐควรป้องกันไม่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมที่มีความคิดแตกต่างกันปะทะกันและกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมืองทุกกลุ่มชุมนุมด้วยความสงบเรียบร้อย

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : หอการค้าระบุยุบสภาฯไม่กระทบเศรษฐกิจ

Posts related