นายเชาว์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยฯ อยู่ระหว่างติดตามสถานการณ์การทางการเมืองอย่างใกล้ชิดว่าจะมีผลต่ออัตราการ ขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปี 57 หรือไม่ แม้จะมีความชัดเจนเรื่องกำหนดวันเลือกตั้งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือน ก.พ.ปี 57 ก็ตาม โดยศูนย์วิจัยได้ตั้งสมมติฐานว่าหากกรณีเลวร้ายสุด เหตุการณ์ทางการเมืองรุนแรงและไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ การส่งออกขยายตัวไม่ถึง 3% รวมถึงไม่สามารถเรียกความเชื่อมั่นในการบริโภคและการลงทุนให้กลับมาขยายตัว ได้ จะส่งผลให้จีดีพีปี 57 เติบโต 0.5% เท่านั้น ส่วนกรณีที่การเมืองยืดเยื้อและการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่มีความล่าช้าออกไปจน ถึงครึ่งหลังของปี คาดว่าจะส่งผลให้การเบิกจ่ายงบประมาณในปี 57 ของภาครัฐล่าช้าออกไป และส่งผลกระทบต่อการจัดทำงบประมาณปี 58 แต่ยังมีแรงกระตุ้นจากภาคการส่งออกที่สามารถขยายตัวได้ถึง 7% คาดว่าจีดีพีจะอยู่ที่ 2.5% ส่วนกรณีที่การจัดการเลือกตั้งเป็นไปด้วยความเรียบร้อย หรือมีการเจรจาร่วมกันจนมีรัฐบาลชุดใหม่จนเป็นที่ยอมรับ และปฏิบัติหน้าที่ได้ภายในครึ่งปีแรก สามารถฟื้นความเชื่อมั่นและมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ เชื่อว่าจะส่งผลให้จีดีพีจะเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 3% ในครึ่งปีแรก และมากกว่า 5-6% ในครึ่งหลัง ขณะที่ทั้งปีคาดว่าจะขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ 4.5% ส่วนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ 2 ล้านล้านบาท และการบริหารจัดการน้ำวงเงิน 350,000 ล้านบาท เชื่อว่าจะมีความล่ช้าออกไป เนื่องจากต้องรอคำวินิจฉัยของศาล แม้ว่าจะผ่านร่างเรียบร้อยแต่กระบวนการต่อไปจะต้องรอรัฐบาลชุดใหม่เพื่อนำ ขึ้นทูลเกล้าฯด้วย โดยเบื้องต้นเชื่อว่าจะส่งผลกระทบโดยตรงในระยะแรก แต่จะไม่รุนแรงมากนักต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง เนื่องจากในระยะแรกของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเป็นการลงทุนเบื้องต้นเท่า นั้น ไม่ใช่การลงทุนขนาดใหญ่และใช้วงเงินไม่สูงมากนัก

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : ห่วงการเมืองฉุดเศรษฐกิจ

Posts related