นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยว่า ในกรณีที่รัฐบาลมีมติไม่ต่ออายุกองทุนหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ)  จะทำให้ผู้ถือครองทยอยเทขายหน่วยลงทุนออกมาพอสมควร เพราะไร้แรงจูงใจด้านการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเหมือนที่ผ่านมา แต่คาดว่าคงไม่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อดัชนีตลาดหุ้นไทยมากนัก เนื่องจากตลาดหุ้นไทยยังอยู่ทิศทางขาขึ้น และยังมีแรงจูงใจด้านผลตอบแทนที่ยังสูงกว่าในการลงทุนประเภทอื่น ส่งผลให้มีนักลงทุนเข้าสู่ตลาดเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง “การเปิดขายกองทุนแอลทีเอฟทำให้มีสัดส่วนนักลงทุนสถาบันเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากในช่วง 8 ปี ที่ผ่านมาอยู่ที่ 5-6% เพิ่มขึ้นเป็น 9-10% ซึ่งรัฐบาลควรให้การสนับสนุนกองทุนดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง เพราะผู้ได้รับประโยชน์ส่วนใหญ่เป็นบุคลที่มีรายได้ปานกลาง ที่ต้องการลงทุนเพื่อผลตอบแทนที่มากกว่าเงินฝาก รวมทั้งเป็นการกระตุ้นการออมในประเทศให้เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย” สำหรับในระยะต่อไปทางสภาฯจะเข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อเสนอรูปแบบกองทุนชนิดใหม่ หากรัฐบาลมีการยกเลิกสิทธิประโยชน์ทางภาษีของกองทุนแอลทีเอฟที่จะสิ้นสุดในปลายปีนี้ โดยจะเป็นกองทุนผสมที่มีสัดส่วนของกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน,พันธบัตรระยะยาว และหุ้น เพื่อเพิ่มความหลากหลายของรูปแบบการลงทุนมากยิ่งขึ้น ส่วนเรื่องระยะเวลาการถือครองหน่วยลงทุนจะต้องมีการหารือกันอีกครั้ง โดยประเมินเบื้องต้นว่าอาจจะมากกว่า 5 ปี ขึ้นไป ทั้งนี้ รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) กล่าวว่า ผู้ลงทุนในกองทุนแอลทีเอฟส่วนใหญ่เป็นลูกค้าระดับกลางที่มีรายได้ตั้งแต่ 50,000 บาทถึง 1 ล้านบาทต่อเดือน และ 1 ใน 3 ของผู้ลงทุนจะซื้อต่อเนื่องระยะยาว ในขณะที่พฤติกรรมการลงทุน 50% ของลูกค้าที่ซื้อจะทำการหยุดซื้อ หรือย้ายบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนในปีถัดไป เพราะในแต่ละบริษัทให้ผลตอบแทนที่แตกต่างกัน

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : เทขายแอลทีเอฟไม่กระทบตลาดหุ้น

Posts related