เมื่อวันที่ 27 พ.ค. ที่ผ่านมาบรรดาภาคเอกชนทั้ง 7 องค์กร ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศ ไทย (ส.อ.ท.), สมาคมธนาคารไทย, สภาธุรกิจท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, สภาธุรกิจตลาดทุนไทย, ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย ได้หารือร่วมกันถึงแนวทางขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งสามารถสรุปร่วมกันได้ 7 ข้อ โดยแต่ละองค์กรจะกลับไปจัดทำรายละเอียดให้ชัดเจนอีกครั้ง ก่อนนำมาพิจารณาใหม่ในสัปดาห์หน้า ก่อนจะสรุปรายละเอียดทั้งหมดส่งให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติหรือ คสช. พิจารณาผลักดันต่อไป ทำการบ้านเพิ่ม  นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การประชุมของภาคเอกชนทั้ง 7 องค์กรในครั้งนี้เป็นการหารือครั้งแรกของภาคเอกชน หลัง คสช. เข้ามาบริหารประเทศ โดยเป็นการระดมความเห็นเพื่อเหลือประเทศทั้งระยะสั้นและยาวซึ่งมาตรการต้องสามารถดำเนินได้จริงเกิดประสิทธิภาพและสร้างอนาคตประเทศไทยในระยะยาว 10-20 ปีข้างหน้าเป็นการฟื้นฟูความเชื่อมั่นสู่สังคมไทยให้เข้มแข็งและยั่งยืนรวมทั้งความเชื่อมั่นจากต่างชาติ นักลงทุน นักท่องเที่ยวต้องกลับคืนมา ทั้งนี้กรอบปฏิรูปเศรษฐกิจ ได้แก่ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ, การปฏิรูปการลงทุนของภาครัฐและเอกชน, การยกระดับการศึกษาและนวัตกรรม, การแก้ปัญหาสังคมและความเหลื่อมล้ำ, การสร้างธรรมาภิบาลและแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่น, การพัฒนาระเบียบต่าง ๆ ของภาครัฐ และการพัฒนาโครงสร้างใหม่ในระบบเศรษฐกิจไทย “กรอบปฏิรูปเศรษฐกิจทั้ง 7 ข้อมีทั้งโครงการระยะสั้นและระยะยาวซึ่งได้ให้แต่ละองค์กรกลับไปศึกษาว่าจะสามารถทำอะไรได้บ้าง และจะทำให้เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้อย่างไร ซึ่งเมื่อหารือกันตกผลึกแล้วจะเสนอเรื่องให้ คสช. นำไปพิจารณา” เชิญเอกชน ตปท. ถก  นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)  กล่าวว่า ขณะนี้ความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยหายไปพอสมควร ซึ่งในส่วนของความเชื่อมั่นจากนักลงทุน ส.อ.ท.และหอการค้าไทย จะมีการเชิญหอการค้าและสภาธุรกิจต่างประเทศที่อยู่ในประเทศไทยซึ่งมีไม่ต่ำกว่า 30 แห่ง มาสื่อสารเพื่อสร้างความเชื่อมั่น รวมถึงสื่อให้คู่ค้าในต่างประเทศมั่นใจว่าผู้ประกอบการในไทยยังสามารถผลิตและส่งสินค้าได้ตามปกติ เร่งดึงเชื่อมั่นลูกค้า  นายวัลลภ วิตนากร รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)   กล่าวว่า  ผู้ประกอบการส่งออกไทยหลายรายเตรียมที่จะเจรจากับลูกค้าเพื่อสร้างความมั่นใจในสถานการณ์ทางการเมืองเพื่อขอร้องให้ลูกค้าต่างประเทศช่วยไปชี้แจงกับผู้บริหารระดับสูงของแต่ละประเทศเข้าใจถึงสถานการณ์ประเทศไทยในกรณีที่ คสช. ที่เข้ามาเพียงเพื่อรักษาความปลอดภัยแก่คนในประเทศ และไม่ต้องการเข้ามาอยู่ในอำนาจนาน ๆ สำหรับในส่วนของสถานการณ์ส่งออกนั้นได้รับการยืนยันจากลูกค้าต่างประเทศแล้วว่าจะไม่มีการยกเลิกคำสั่งซื้อ (ออร์เดอร์) ล่วงหน้าจากผู้ประกอบการไทยแน่นอน เนื่องจากมั่นใจว่าผู้ส่งออกสามารถที่จะผลิตสินค้าและส่งออกได้ทันเวลาที่กำหนดไว้ ดังนั้นจึงอยากให้ทุกฝ่ายมั่นใจว่าการส่งออกในช่วงไตรมาสที่ 2-3 ของไทยยังมีในภาวะปกติ ขอขยายเวลาเคอร์ฟิว  นางปิยะมาน เตชะไพบูลย์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) กล่าวว่า ทาง สทท. เข้าใจว่าการเข้ามาของ คสช. เพื่อต้องการรักษาความปลอดภัยของคนในชาติดังนั้นหากสถานการณ์ความปลอดภัยเข้าสู่ภาวะปกติแล้วอยากให้ คสช. มีการขยายระยะเวลาเคอร์ฟิวจาก 22.00-05.00 น. เป็น 24.00-05.00 น. ซึ่งจะช่วยภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยว นอกจากนี้ คสช. ควรออกมาตรการส่งเสริมให้คนไทยออกมาท่องเที่ยวระหว่างภูมิภาคมากขึ้น ซึ่งนอกจากจะเป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศแล้ว ยังช่วยลดความขัดแย้งระหว่างคนไทยในภูมิภาคต่าง ๆ เช่น การให้คนภาคใต้ไปเที่ยวภาคเหนือ ให้คนภาคอีสานไปเที่ยวภาคใต้ เป็นต้น เนื่องจากการที่ได้ไปท่องเที่ยวต่างถิ่นก็จะเข้าใจวิถีชีวิตมุมมองความคิดของคนต่างถิ่นมากขึ้น ขอการเมืองนิ่ง  นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล  ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ  กล่าวว่า  หากการเมืองนิ่งจะทำให้นักลงทุนทั้งประเทศและต่างประเทศเกิดความเชื่อมั่นกล้าเข้ามาลงทุน  รวมทั้งทำให้ประชาชนเริ่มกลับมาจับจ่ายใช้สอยปกติ  เพราะปัจจุบันประชาชนมีกำลังซื้อแต่ไม่กล้าใช้จ่าย เนื่องจากไม่มั่นใจด้านการเมือง นอกจากนี้เห็นว่ารัฐบาลจะต้องเร่งเดินหน้าโครงการภาครัฐตามแผนที่วางไว้โดยเร็ว ซึ่งไม่จำเป็นต้องลงทุนโครงการทั้งหมด แต่ลงทุนโครงการที่มีความจำเป็นก่อน โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ เช่น รถไฟรางคู่ หรือส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าที่มีอยู่ในแผนเดิมอยู่แล้วให้เห็นผลเป็นรูปธรรม “เมื่อความอึมครึมหรือมรสุมหมดลงการใช้จ่ายในประเทศจะเริ่มกลับคืนมา ซึ่งยอมรับว่าเราช้ากว่าคู่แข่ง 6 เดือน และการจะก้าวให้ทันจะต้องเร่งเดินหน้าโครงการต่าง ๆ ที่สำคัญตั้งแต่ครึ่งหลังของปีนี้ เพราะถ้าการเมืองจบนโยบายไปถูกทางประเทศชาติก็เดินหน้าได้ และเชื่อว่าจะสามารถสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุน และผู้บริโภคได้” ต่างชาติเข้าใจไทย  นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลัก ทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ตลท. จะเร่งสร้างความเข้าใจแก่นักลงทุนต่างชาติเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองไทย เพื่อให้นักลงทุนได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยที่ผ่านมาดัชนีก็ไม่ปรับลดลงมากและทิศทางการปรับลดก็มีลดน้อยกว่าบางประเทศในภูมิภาคนี้ เนื่องจากต่างชาติเริ่มเข้าใจสถานการณ์ของไทยมากขึ้น. มนัส แวววันจิตร

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : เอกชนชง7ข้อฟื้นเศรษฐกิจ เร่งเชิญตปท.แจงดึงเชื่อมั่น

Posts related