นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ที่ประชุม 7 องค์กรภาคเอกชนเห็นชอบ 7แนวทางในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาเศรษฐกิจให้ยั่งยืนเพื่อเสนอให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พิจารณาภายใน 1 สัปดาห์ ประกอบด้วยการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ, การปฏิรูปการลงทุนของภาครัฐและเอกชน,การยกระดับการศึกษาและนวัตกรรม, .การแก้ปัญหาสังคมและความเหลื่อมล้ำ, การสร้างธรรมาภิบาลและแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่น, การพัฒนาระเบียบต่างๆของภาครัฐ และการพัฒนาโครงสร้างใหม่ในระบบเศรษฐกิจไทย“ทั้งนี้ได้มอบหมายให้แต่ละภาคส่วนไปทำการบ้านภายใน 1 สัปดาห์ ก็กลับมาหารือกันอีกครั้ง ซึ่งมีทั้งแผนระยะสั้น และแผนการปฎิรูปในระยะยาว 15-20 ปีว่าไทยเป็นศูนย์ในด้านไหนบ้างส่วนการเสนอตัวนายกรัฐมนตรีนั้น ที่ประชุมไม่ได้เสนอเรื่องนี้”นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)กล่าวว่า ขณะนี้ความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยหายไปพอสมควร ซึ่งในส่วนของความเชื่อมั่นจากนักลงทุน ส.อ.ท.และหอการค้าไทย จะเชิญหอการค้าและสภาธุรกิจต่างประเทศที่อยู่ในประเทศไทย ซึ่งมีไม่ต่ำกว่า 30แห่ง มาสื่อสารเพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่า รวมถึงสื่อให้คู่ค้าในต่างประเทศมั่นใจว่า ผู้ประกอบการในไทยยังสามารถผลิตและส่งสินค้าได้ตามปกตินายวัลลภ วิตนากร รองประธานส.อ.ท. กล่าวว่า ผู้ประกอบการส่งออกไทยหลายราย เตรียมที่จะเจรจากับลูกค้า เพื่อสร้างความมั่นใจ ในสถานการณ์ทางการเมือง เพื่อขอร้องให้ลูกค้าต่างประเทศช่วยไปชี้แจงกับผู้บริหารระดับสูงของแต่ละประเทศเข้าใจถึงสถานการณ์ประเทศไทย ในกรณีที่คสช.ที่เข้ามา เพียงเพื่อรักษาความปลอดภัยแก่คนในประเทศ และไม่ต้องการเข้ามาอยู่ในอำนาจนาน ๆสำหรับในส่วนของสถานการณ์ส่งออกนั้น ได้รับการยืนยันจากลูกค้าต่างประเทศแล้ว ว่าจะไม่มีการยกเลิกเลิกคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) ล่วงหน้าจากผู้ประกอบการไทยแน่นอน เนื่องจากมั่นใจว่าผู้ส่งออกสามารถที่จะผลิตสินค้า และส่งออกได้ทันเวลาที่กำหนดไว้ ดังนั้นจึงอยากให้ทุกฝ่ายมั่นใจว่าการส่งออกในช่วงไตรมาสที่ 2-3 ของไทยยังมีในภาวะปกตินางปิยะมาน เตชะไพบูลย์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) กล่าวว่า สทท. เข้าใจว่าการเข้ามาของ คสช.เพื่อต้องการรักษาความปลอดภัยของคนในชาติ ดังนั้นหากสถานการณ์ความปลอดภัยเข้าสู่ภาวะปกติแล้วอ ยากให้คสช.ขยายระยะเวลาเคอร์ฟิวส์จาก 22.00-05.00 น. เป็น 24.00-05.00 น.ซึ่งจะช่วยภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวนอกจากนี้คสช. ควรออกมาตรการส่งเสริมให้คนไทยออกมาท่องเที่ยวระหว่างภูมิภาคมากขึ้น นอกจากจะเป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศแล้ว ยังช่วยลดความขัดแย้งระหว่างคนไทยในภูมิภาคต่าง ๆ เช่น การให้คนภาคใต้ไปเทียวภาคเหนือ ให้คนภาคอีสานไปเทียวภาคใต้ เป็นต้น เนื่องจากการที่ได้ไปท่องเที่ยวต่างถิ่น ก็จะเข้าใจวิถีชีวิตมุมมองความคิดของคนต่างถิ่นมากขึ้นนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า หากการเมืองนิ่ง จะทำให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเกิดความเชื่อมั่นกล้าเข้ามาลงทุน รวมทั้งทำให้ประชาชนเริ่มกลับมาจับจ่ายใช้สอยปกติ เพราะปัจจุบันประชาชนมีกำลังซื้อแต่ไม่กล้าใช้จ่าย เนื่องจากไม่มั่นใจด้านการเมือง นอกจากนี้เห็นว่ารัฐบาลจะต้องเร่งเดินหน้าโครงการภาครัฐตามแผนที่วางไว้โดยเร็วซึ่งไม่จำเป็นต้องลงทุนโครงการทั้งหมด แต่ลงทุนโครงการที่จำเป็นก่อน โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ เช่น รถไฟรางคู่ หรือส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าที่มีอยู่ในแผนเดิมอยู่แล้วให้เห็นผลเป็นรูปธรรม“เมื่อความอึมครึม หรือมรสุมหมดลง การใช้จ่ายในประเทศจะเริ่มกลับคืนมา ซึ่งยอมรับว่าเราช้ากว่าคู่แข่ง 6 เดือน และการจะก้าวให้ทันจะต้องเร่งเดินหน้าโครงการต่าง ๆ ที่สำคัญตั้งแต่ครึ่งหลังของปีนี้ เพราะถ้าการเมืองจบนโยบายไปถูกทางประเทศชาติก็เดินหน้าได้ และเชื่อว่าจะสามารถสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุนและผู้บริโภคได้”นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ตลท. จะเร่งสร้างความเข้าใจแก่นักลงทุนต่างชาติเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองไทย เพื่อให้นักลงทุนได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยที่ผ่านมาดัชนีก็ไม่ปรับลดลงมาก และทิศทางการปรับลดก็มีลดน้อยกว่าบางประเทศในภูมิภาคนี้เนื่องจากต่างชาติเริ่มเข้าใจสถานการณ์ของไทยมากขึ้น

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : เอกชนสรุป 7 ข้อฟื้นฟูเศรษฐกิจ

Posts related