เมื่อวันที่ 11 ก.พ. มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ได้จัดงานสัมมนาการปฏิรูปประเทศไทย เรื่อง ’การคอร์รัปชั่นและการผูกขาดทางเศรษฐกิจ” โดยเชิญวิทยากรที่มีชื่อเสียงและมีคุณภาพมาร่วมเสนอแนวคิด เพื่อหาทางออกให้แก่ประเทศในการขจัดปัญหาการคอร์รัปชั่นที่นับวันจะยิ่งรุนแรงมากขึ้น เห็นได้จากการจัดอันดับดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชั่นของไทยที่ได้คะแนนเพียง 35 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน และอยู่ในลำดับที่ 102 จาก 177 ประเทศ “เดือนเด่น นิคมบริรักษ์” ผู้อำนวยการวิจัยการบริหารจัดการระบบเศรษฐกิจ ทีดีอาร์ไอ บอกว่า  ระบบการผูกขาดเศรษฐกิจถือว่าเป็นการคอร์รัปชั่นที่น่าเป็นห่วงมากในไทย ซึ่งเป็นการหาเงินได้เร็วและมากด้วย เนื่องจากผู้ให้หรือผู้ดูแลสัมปทานอาจมีส่วนได้เสียกับกิจการที่เกี่ยวข้อง เบื้องต้นพบว่าอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มทุจริตมากที่สุดเกี่ยวกับโครงการหรือการให้สัมปทาน คือ โทรคมนาคม รองลงมาเป็น พลังงานและสาธารณูปโภค, การเกษตร และการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ วัสดุก่อสร้าง เพราะมีกลไกของภาครัฐเข้ามาแทรกแซงตลอดเวลา เช่น โครงการรับจำนำข้าว กิจการที่มีไม่กี่บริษัทประมูลข้าวได้ เป็นต้น ดังนั้นจึงต้องการให้ทุกฝ่ายช่วยกันหามาตรการในการสลายระบบการผูกขาดเศรษฐกิจ เพราะหากดำเนินการได้จะทำให้การทุจริตคอร์รัปชั่นทยอยลดลงตามไปด้วย เช่น การออกกฎหมายที่เข้มงวดเพิ่มขึ้นและครอบคลุมถึงรัฐวิสาหกิจ รวมถึงความเข้มข้น พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารราชการเพื่อให้ภาครัฐมีการเปิดเผยข้อมูลให้สาธารณชนรับทราบมากขึ้น โดยเฉพาะโครงการรับจำนำข้าว ด้าน “ผาสุก  พงษ์ไพจิตร” อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวยอมรับว่า ประเทศที่กำลังพัฒนาหลายประเทศ ทั้งนักการเมือง และข้าราชการ มีการเชื่อมโยงกับการคอร์รัปชั่นเพราะเป็นการสะสมทุนและความมั่งคั่งแก่ครอบครัว เพราะนักการเมืองหรือข้าราชการเป็นนักธุรกิจเสียเอง หรือไม่ก็มีครอบครัวประกอบธุรกิจ ซึ่งจากผลการศึกษาพบว่าการทุจริตในเมืองไทยนั้นเกี่ยวข้องกับโครงการใหญ่ ๆ ที่มีทั้งนักธุรกิจ นักการเมือง ข้าราชการ ให้สินบนกันจำนวนมาก และยังเกี่ยวข้องกับกระทรวงเกรดเอ ทั้งคมนาคม, ทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, เกษตรและสหกรณ์, ศึกษาธิการ, คลัง, มหาดไทย และตำรวจบางกลุ่ม เป็นต้น “จากการสำรวจในกลุ่มประชาชนที่ขึ้นโรงขึ้นศาลพบว่า 1 ใน 3 มีการให้สินบนแก่เจ้าหน้าที่เพื่อให้ชนะคดี โดยในกลุ่มที่ใช้เงินพบว่า 50% บอกว่าจ่ายเงินแล้วสามารถได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวังไว้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการทุจริตคอร์รัปชั่นในเมืองไทยมีอยู่ในทุกวงการทั้งหน่วยงานราชการและกระบวนการยุติธรรม”  เช่นเดียวกับ “สมเกียรติ  ตั้งกิจวานิชย์” ประธานทีดีอาร์ไอ ระบุว่า  ขณะนี้ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ภาคประชาชนและภาคธุรกิจเริ่มตื่นตัวมากกับการต่อต้านคอร์รัปชั่น จากเดิมที่เฉย ๆ กับการคอร์รัปชั่นแต่ปัจจุบันเริ่มไม่เห็นด้วยมากขึ้น ดังนั้นโจทย์ใหญ่คือคนในสังคมต้องผลักดันให้ภาคการเมืองเปลี่ยนแปลงทัศนคติในเรื่องนี้ ขณะที่ทีดีอาร์ไอกำลังเป็นห่วงการคอร์รัปชั่นที่ผูกขาดกับเศรษฐกิจเพราะหากไม่สามารถแก้ตรงนี้ได้เชื่อว่าการทุจริตคอร์รัปชั่นยังมีต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด “อย่างไรก็ตามยอมรับว่างานของราชการที่เกี่ยวข้องกับประชาชนโครงการเล็กน้อย ๆ ไม่ค่อยมีการทุจริตมากนัก เช่น เรื่องการทำบัตรประจำตัวประชาชน และการทำพาสปอร์ต ซึ่งปัจจุบันสามารถอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้บริการอย่างมาก แต่ในส่วนของโครงการใหญ่ ๆ ตรงนี้ยอมรับว่ายังมีการทุจริตอยู่มาก” หันมาที่ภาคเอกชน “วิชัย อัศรัสกร” รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า การทุจริตคอร์รัปชั่นในไทยส่วนใหญ่เป็นการใช้ตำแหน่งทางการเมืองเพื่อเอื้อผลประโยชน์แก่พรรคพวก รองลงมาเป็นการให้สินบน เพื่อให้ได้งานหรือโครงการ และการทุจริตเชิงนโยบายจากผู้มีอำนาจทางการเมือง ซึ่งเห็นได้ว่าปัญหาหลักในการคอร์รัปชั่นส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับนักการเมือง ดังนั้นยอมรับว่าการรณรงค์ต่อต้านเรื่องนี้ในกลุ่มนักการเมืองทำได้ยากมาก ซึ่งบางคนก็มายืนแถวหน้าในการรณรงค์การต่อต้านกับองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น แต่เมื่อรณรงค์เสร็จแล้วบางรายก็กลับไปโกงต่อ ขณะที่ “บรรยง พงษ์พานิช” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคิน-ภัทร กล่าวว่า การแก้ปัญหาการคอร์รัปชั่นจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของประชาชน นักธุรกิจ และนักการเมือง เพื่อให้ตื่นตัวกับการต่อต้านเรื่องนี้ และการแก้ปัญหาจำเป็นต้องอดทนเพราะไม่สามารถแก้ปัญหาให้เร็วได้ แต่ในเบื้องต้นควรหามาตรการในการลดอำนาจ ขนาด และบทบาทของภาครัฐลง เพราะสิ่งเหล่านี้จะช่วยลดการทุจริตที่เกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจทางการเมืองลงได้ ขณะเดียวกันก็จำเป็นต้องหาแนวทางกระจายอำนาจลงสู่ท้องถิ่นมากขึ้นด้วย เพราะจะทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการใช้เงินได้มากขึ้น โดยแนวทางขจัดปัญหาคอร์รัปชั่นในไทย ต้องเริ่มจากการขับเคลื่อนจากประชาชนทั่วไปในการสร้างจิตสำนึก และกดดันคนทุจริตไม่ให้มีที่ยืนในสังคม เพราะหากให้นักการเมืองเป็นแกนนำ เพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้รับรองว่าวงจรนี้ไม่มีวันหมดไปจากเมืองไทยแน่นอน. มนัส แวววันจิตร  

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : แนะคุมอำนาจธุรกิจผูกขาดสลายคอร์รัปชั่นนักการเมือง

Posts related