นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยว่า หอการค้าไทย ต้องการเสนอให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พิจารณาจัดระเบียบพื้นที่ปลูกข้าว 70 ล้านไร่ ในไทยใหม่ เพื่อสร้างรายได้แก่เกษตรกร ด้วยการส่งเสริมให้ชาวนาเปลี่ยนการปลูกข้าวในพื้นที่นาดอน 27ล้านไร่ มาปลูกสินค้าเกษตรประเภทอื่น เช่น อ้อย, มันสำปะหลัง, ข้าวโพดและยางพาราแทน เนื่องจากที่ผ่านมาชาวนาที่ปลูกข้าวบริเวณดังกล่าวแทบไม่มีกำไร หรือมีรายได้เพียง 4,000 – 4,500 บาทต่อไร่ เนื่องจากมีต้นทุนสูง และผลผลิตต่อไร่ต่ำเฉลี่ยไม่เกิน 250-300 กก.ต่อไร่ ทั้งนี้หากเปลี่ยนมาปลูกอ้อยอาจมีรายได้สูงถึง14,000 บาทต่อไร่ เมื่อหักลบต้นทุน ก็จะมีกำไร 5,000 บาทต่อไร่ หรือปลูกมันสำปะหลัง จะมีรายได้ 8,000 -10,000 บาทต่อไร่ และมีกำไร 2,000 -3,000 บาทต่อไร่“ประเมินว่า มีที่นาในการเพาะปลูกข้าวขณะนี้ 70 ล้านไร่ แต่เป็นพื้นที่เหมาะสมน้อย หรือไม่เหมาะสมในการปลูกข้าวถึง 26-27 ล้านไร่ ตรงนี้ ผู้ที่ปลูกข้าวแทบไม่ได้กำไรเลย หรือไม่ก็ขาดทุนเพราะมีผลผลิตต่ำไม่ถึง 300 กก.ต่อไร่ หากเป็นพื้นที่นาในเขตชลประทานในบางพื้นที่ อาจมีผลผลิต 600-800 กก.ต่อไร่ดังนั้นหากส่งเสริมให้ปลูกพืนชนิดอื่น ก็จะช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น”แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า คสช. ได้มอบหมายกระทรวงพาณิชย์ให้ความสำคัญกับเรื่องข้าว โดยจะปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ใหม่ โดยเฉพาะกรมการค้าต่างประเทศ ที่จะต้องลดบทบาทการเป็นผู้เจรจาขายข้าวเอง มาเป็นผู้ดูแลกลไก และหันมาส่งเสริมภาคเอกชน และรัฐวิสาหกิจ ที่มีคือองค์การคลังสินค้า (อคส.) องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) เป็นตัวขับเคลื่อน ทั้งตลาดในและต่างประเทศ ขณะเดียวกัน ก็จะมีหน้าที่ดูแลเสถียรภาพด้านราคาข้าวด้วย“ส่วนการประชุมคณะอนุกรรมการด้านการระบายข้าวครั้งล่าสุดนั้น ที่ประชุมได้ไฟเขียวการระบายข้าวตามสัญญาจีทูจีที่ไทยได้ทำกับคอฟโกรัฐวิสาหกิจของจีนแล้ว โดยล็อตแรก 100,000 ตัน จากสัญญาซื้อขาย 1 ล้านตันคาดว่ามีปริมาณที่รอการส่งมอบเหลือไม่มาก”นายสมเกียรติ มรรคยาธรเลขาธิการสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า สมาคมฯ ได้ยื่นหนังสือต่อพล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลป์ยะรองหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ ของคสช. เพื่อขอให้เปิดโกดังสต๊อกข้าวรัฐบาล ที่ผู้ส่งออกข้าวได้รับการอนุมัติซื้อข้าวสต๊อกรัฐบาลผ่านวิธีการประมูลเป็นการทั่วไป การระบายผ่านตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (เอเฟต) ซึ่งได้ทำสัญญาและชำระค่าข้าวไปแล้ว ก่อนที่คสช.จะเข้ามาบริหารประเทศมีปริมาณรวมกว่า 300,000 ตัน โดยขอให้ผู้ส่งออกขนข้าวออกจากโกดังได้ล่าสุดทางพล.อ.ฉัตรชัย ได้อนุญาตให้ผู้ส่งออกสามารถขนข้าวออกจากโกดังได้โดยนำหลักฐานการชำระเงินมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ทหาร เพื่อนำข้าวออกจากโกดังรัฐ“พล.อ.ฉัตรชัยได้แจ้งกับผมเองว่า อนุญาตให้นำข้าวที่ทำสัญญา และชำระเงินออกไปได้ โดยให้ยื่นหลักฐานการชำระเงิน เพื่อขอให้ทหารเปิดโกดังข้าวซึ่งข้าวในส่วนที่ขนออกได้นั้น ไม่เกี่ยวข้องกับการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี)ที่หยุดการระบายไว้ก่อน”อย่างไรก็ตามหลังจากนี้ผู้ส่งออกที่มีหลักฐานการชำระเงินชัดเจน ก็จะทยอยขนข้าวออกจากโกดังสต็อกรัฐบาลซึ่งเชื่อว่าปริมาณข้าวดังกล่าวจะช่วยรองรับความต้องการซื้อข้าวในตลาดต่างประเทศที่มีความต้องการซื้อเข้ามามาก โดยเดือนพ.ค.ไทยสามารถส่งออกข้าวให้ต่างประเทศได้มากกว่า 1 ล้านตัน เนื่องจากราคาข้าวไทยอยู่ในระดับที่แข่งขันกับประเทศคู่แข่งส่งออกข้าวไทยสำหรับกรณีที่มาเลเซียซื้อข้าวจากประเทศเวียดนาม 200,000 ตัน เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นการเจรจาขายข้าวล็อตใหม่ไม่เกี่ยวข้องกับการเจรจาขายข้าวระหว่างรัฐบาลไทยและมาเลเซีย 800,000 ตันก่อนที่คสช.จะเข้ามาบริหารประเทศ ซึ่งมาเลเซียมีคำสั่งซื้อล่วงหน้าหลายล็อต อีกทั้งในปีนี้ไทยก็ขายข้าวให้มาเลเซียได้จำนวนมาก โดยช่วง 5 เดือนแรกปีนี้ ไทยขายข้าวให้มาเลเซียได้เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : แนะจัดระเบียบพื้นที่ปลูกข้าว

Posts related