นับเป็นข่าวดี…ของนักท่องเที่ยวไทย ที่รัฐบาลญี่ปุ่นได้ใช้นโยบาย “ฟรีวีซ่า” หรือการยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นให้กับนักท่องเที่ยวไทย เป็นเวลา 15 วัน เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 56 ที่ผ่านมา เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศของญี่ปุ่นเอง และยังเป็นการกระชับความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ ผลของการใช้นโยบายฟรีวีซ่าของญี่ปุ่นครั้งนี้ ทำให้นักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 100% ทีเดียวและคาดกันว่าเมื่อถึงสิ้นปี 56 จะมีนักท่องเที่ยวไทยแตะ 5 แสนคนทีเดียว! ซึ่งถือเป็นตัวเลขมากเป็นประวัติการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ที่สำคัญ…ใช่จะมีแต่ตัวเลขนักท่องเที่ยวไทยไปเที่ยวญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่กลับกลายเป็นว่า มีบุคคลและกลุ่มคนจำนวนมาก ได้ใช้โอกาส…ครั้งนี้แอบแฝงเข้าไปลักลอบอยู่เกินเวลาที่รัฐบาลกำหนด และแอบลักลอบไปทำมาหากินที่ญี่ปุ่น หรือที่รู้จักกันดีในนาม “โรบินฮู้ด” มากถึง 200 คนทีเดียว จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่อาจทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นยกเลิกการยกเว้นวีซ่าให้กับคนไทยในอนาคตก็เป็นไปได้ สถานการณ์ “โรบินฮู้ดไทย” ที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่นนี้ ถือว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้น เพราะก่อนหน้านี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในประเทศ “นิวซีแลนด์” ที่แรงงานเหล่านี้ได้อาศัยช่องโหว่ของนโยบาย “ฟรีวีซ่า” ที่รัฐบาลนิวซีแลนด์ได้ยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางเข้าประเทศนิวซีแลนด์ให้กับคนไทย แอบลักลอบเข้าไปทำมาหากินอยู่ในนิวซีแลนด์ เช่นกัน ส่งผลให้นิวซีแลนด์ต้องยกเลิกฟรีวีซ่าให้แก่นักท่องเที่ยวไทย เรื่องนี้จึงน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง! เพราะเท่ากับกระทบกับภาพลักษณ์ของไทยโดยตรงที่อาจซ้ำรอยประวัติ ศาสตร์ซ้ำ จนกลายเป็นที่ไม่น่าเชื่อถือในสายตาของต่างประเทศอีกต่อไป… นอกจากนี้กระทรวงการต่างประเทศได้รายงานตัวเลขคนไทยที่เดินทางไปญี่ปุ่นทั้งแบบเสียค่าวีซ่าท่องเที่ยวและไม่เสียค่าวีซ่า และไม่กลับมาภายในเวลาที่กำหนดแต่อยู่เพื่อทำจุดประสงค์อื่นต่อ ในช่วง 8 เดือนของปี 56 (ม.ค.-ส.ค.) พบว่ามีจำนวนมากถึง 3,518 คน นั่นแสดงให้เห็นว่าก่อนที่รัฐบาลญี่ปุ่นได้ใช้มาตรการ เปิดฟรีวีซ่า จำนวนโรบินฮู้ดไทยก็มีอยู่ไม่น้อยทีเดียว สิ่งที่ต้องระวัง! จากนี้ไป คือ ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยต้องออกมาตรการ และกวดขันเรื่องกฎหมายแรงงานให้มากขึ้น ขณะที่ภาคการท่องเที่ยว ต้องออกโรงชี้แจง และทำความเข้าใจกับนักท่องเที่ยวไทยให้ดี ว่านโยบาย “ฟรีวีซ่า” ของญี่ปุ่นครั้งนี้เป็นเรื่องของการเดินทางท่องเที่ยว ไม่ใช่การให้เข้าไปทำงาน ไม่เช่นนั้นปัญหานี้จะทำให้เกิดการหมักหมมและอาจเพิ่มพูนมากขึ้นเป็นทวีคูณจนซ้ำรอยกับกรณีของ “นิวซีแลนด์” ได้ ในเรื่องนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงอย่าง “ประวิทย์ เคียงใจ” อธิบดีกรมการจัดหางาน บอกว่า “ญี่ปุ่น” ถือเป็นประเทศติดลำดับต้น ๆ ที่แรงงานไทยต้องการเดินทางเข้าไปทำงาน เพราะเชื่อว่าจะได้รับค่าจ้างแรงงานที่สูง เมื่อมาสบกับโอกาสฟรีค่าวีซ่าท่องเที่ยว จึงทำให้เกิดการ “ฉวยโอกาส” ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว รัฐบาลไทยเองได้ให้ความสำคัญเรื่องการเข้าไปเป็นแรงงานในญี่ปุ่น ด้วยการจัดหางานในรูปแบบการเซ็นเอ็มโอยูหรือบันทึกข้อตกลงร่วมกับรัฐบาลญี่ปุ่น ทั้งการที่บริษัทจัดหางานของญี่ปุ่นเลือกเป็นผู้เลือกแรงงานไทยเอง หรือการทำงานแบบฝากฝีมือหรือดูจากความสามารถต่าง ๆ ที่นายจ้างญี่ปุ่นต้องการ หรือการเดินทางไปหางานทำด้วยตัวเอง ซึ่งในแต่ละปี จะมีแรงงานที่ทำตามเงื่อนไขข้างต้นประมาณ 1,800 คน ที่ได้เดินทางไปทำงานในญี่ปุ่นแบบถูกกฎหมายจริง ๆ อธิบดีประวิทย์ บอกว่า การเข้ามาของคนไทยที่ญี่ปุ่น ตั้งแต่ต้นปีบอกได้เลยว่า เป็นการเข้ามาแบบฉวยโอกาสทั้งสิ้น คือ ใช้วีซ่าท่องเที่ยวแล้วไม่ยอมกลับ เพราะเห็นว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีค่าจ้างแรงงานสูง ซึ่งถือเป็นแรงดึงดูดได้เป็นอย่างดี ขณะที่ในส่วนของสถานทูตญี่ปุ่นเอง มีกฎหมายที่ชัดเจนกำหนดไว้ว่าผู้ที่ไม่ได้รับการอนุญาตต่ออายุวีซ่าจากสำนักตรวจคนเข้าเมืองประเทศญี่ปุ่นก่อนที่วีซ่าหมดอายุ จะถือว่าบุคคลนั้น พำนักผิดกฎหมายในญี่ปุ่น จึงต้องถูกส่งกลับประเทศและไม่สามารถเข้าญี่ปุ่นได้อีก 5 ปี หรือ 10 ปี ขณะที่กรณีผู้ที่ละเมิดกฎหมายที่ญี่ปุ่นและถูกศาลตัดสินลงโทษให้จำคุก จะไม่สามารถเข้าญี่ปุ่นได้ตลอดไป ด้านสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำญี่ปุ่น ต่างแสดงความเป็นห่วงในสวัสดิภาพความเป็นอยู่ของคนไทยในญี่ปุ่นทุกคน แต่การที่มีคนไทยบางกลุ่มใช้ช่องว่างในความปรารถนาดีของญี่ปุ่น หนีวีซ่าเพื่อทำงานเพิ่มมากขึ้น เรื่อย ๆ ถือเป็นการทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจที่ญี่ปุ่นมีต่อไทยและคนไทย อีกทั้งเป็นการทำลายภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตาคนญี่ปุ่นด้วย ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นอาจยกเลิกมาตรการยกเว้นวีซ่าแก่คนไทย และกลับมาใช้ระเบียบเดิมที่คนไทยทุกคนต้องขอวีซ่าเพื่อเดินทางเข้าญี่ปุ่น ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น คนไทยที่ต้องการไปติดต่อธุรกิจหรือเดินทางท่องเที่ยวในญี่ปุ่นอย่างถูกต้องและด้วยความบริสุทธิ์ใจ ก็จะไม่ง่ายและสะดวกสบายเหมือนในเวลานี้ ไม่เพียงแค่ญี่ปุ่น…เท่านั้นที่เปิดให้นักท่องเที่ยวไทยเข้าไปเที่ยวโดยไม่ต้องขอวีซ่า เพราะล่าสุดทั้งไทยและประเทศพม่า ก็เตรียมที่จะใช้นโยบายฟรีวีซ่าระหว่างกันด้วย โดยนักท่องเที่ยวไทยสามารถเดินทางไปเที่ยวพม่าได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าเป็นเวลา 14 วัน เช่นเดียว กันนักท่องเที่ยวพม่า สามารถเดินทางมาเที่ยวไทยได้ไม่เกิน 14 วัน โดยไม่ต้องขอวีซ่าด้วยเช่นกัน ซึ่งคาดกันว่าน่าจะลงนามระหว่างกันได้ในพิธีเปิดกีฬาซีเกมส์ที่พม่าเป็นเจ้าภาพในช่วงเดือน ธ.ค. นี้ แต่ความตกลงนี้ให้ได้เฉพาะการเดินทางผ่านท่าอากาศยานไทย 23 แห่งเท่านั้น การเดินทางข้ามผ่านแนวชายแดนจะไม่สามารถใช้ได้ การเดินทางเยือนไทยของนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน อย่าง “หลี่ เค่อเฉียง” เมื่อเร็ว ๆ นี้ ก็มีข่าวดีสำหรับนักท่องเที่ยวไทยเกิดขึ้นเพราะทั้งนายกฯจีนและนายกฯ ไทยต่างเห็นชอบร่วมกันที่จะใช้นโยบาย “ฟรีวีซ่า” ด้วยเช่นกัน แต่ยังไม่ได้มีการกำหนดในรายละเอียดที่ชัดเจนว่าจะดำเนินการกันได้เมื่อใด ซึ่งเรื่องนี้หากเกิดขึ้นได้จริงจะทำให้นักท่องเที่ยวจีนหลั่งไหลเดินทางเข้ามาเที่ยวไทยไม่ต่ำกว่าปีละ 4 ล้านคนแน่นอน และอาจทะลุเพดานไปถึง 5 ล้านคนทีเดียว กรณีของจีนและพม่า “โรบินฮู้ดไทย” อาจไม่สนใจมากนักเพราะไม่ใช่เป้าหมายหลักที่จะสร้างหรือหารายได้ แต่ในทางกลับกันอาจเป็นการเปิดทางให้นักท่องเที่ยวของพม่าและจีนเข้ามาหางานทำเพิ่มมากขึ้นก็เป็นไปได้ ที่สำคัญยังสารพัดปัญหาที่จะเกิดขึ้นโดยเฉพาะปัญหาใหญ่อย่างเรื่องของความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ที่ในเวลานี้ยังแก้ปัญหากันไม่หมด… ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่ภาครัฐทั้งไทยและญี่ปุ่น ต้องหามาตรการเร่งด่วนแก้ไขปัญหา ’โรบินฮู้ดไทย“ ในญี่ปุ่นให้หมดไปโดยเร็วที่สุด หากปล่อยไว้…เชื่อได้ว่า ความมั่นใจที่ญี่ปุ่นเคยมอบให้ ทำให้คนไทยเดินเข้าประเทศญี่ปุ่นได้แบบเชิดหน้าชูตา อาจกลายเป็นภาพลักษณ์ของการถูกมองว่า เป็นชาติที่จ้องเข้ามาสูบเงิน จนต้องก้มหน้ากลับมาเสียค่าใช้จ่ายในการเข้าญี่ปุ่นเหมือนเดิม หรืออาจกลายเป็นว่า ญี่ปุ่นขึ้นค่าวีซ่าเข้าประเทศแพงลิบลิ่วเหมือนทางฝั่งยุโรปที่มีราคาวีซ่าสูงราวกับไม่อยากให้คนไทยเข้าประเทศก็เป็นไปได้!!. เอวิกานต์ บัวคง

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : ใช้‘ฟรีวีซ่า’กระตุ้นท่องเที่ยวเปิดช่องโหว่…โรบินฮู้ดไทย

Posts related