ตลาดในไทยมาก ซึ่งแฟมิลี่มาร์ทรู้ตัวดีว่าเป็นเรื่องยากที่จะโค่นเบอร์หนึ่งที่ครองตำแหน่งมานานหลายสิบปี แต่การขึ้นมาเป็นเบอร์สองที่แข็งแกร่งจนเทียบชั้นกับที่หนึ่งได้ก็เป็นอีกงานที่น่าท้าทายสำหรับแฟมิลี่มาร์ทในไทย! ในยุคสมัยที่สังคมเร่งรีบ ธุรกิจที่สามารถตอบโจทย์ที่ทำให้ชีวิตง่าย รวดเร็ว และสะดวกสบายต่างเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค เห็นได้ชัดในกลุ่มธุรกิจร้านสะดวกซื้อ ที่ไม่ว่าจะไปที่ใดในโลกก็เห็นแทรกอยู่ทุกตรอกซอกซอยทุกมุมตึก ซึ่งหนึ่งในนั้นที่มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักในวงกว้างคือ “แฟมิลี่มาร์ท” ร้านสะดวกซื้อสัญชาติญี่ปุ่น เมื่อลองตามไปดูงานของ “ร้านแฟมิลี่มาร์ท สาขาไดคังยามะ” ถึงดินแดนซากุระ จึงไม่แปลกใจที่วันนี้แฟมิลี่มาร์ท สามารถก้าวขึ้นมาเป็น “หนึ่งในสาม” ผู้นำธุรกิจค้าปลีกในญี่ปุ่น ด้วยธุรกิจที่แข็ง แกร่งแถมยังสมบูรณ์แบบในทุกด้าน ทั้งภาพลักษณ์ที่ดูทันสมัย ครบครันไปด้วยสินค้ามากมาย บวกกับการบริการที่สุภาพนอบน้อม จากจุดเริ่มต้น…สาขาแรกในปี ค.ศ. 1973 หรือปี 2516 จนปัจจุบันมีสาขาในญี่ปุ่น 10,245 สาขา และอีก 13,017 สาขา ใน 8 ประเทศทั่วโลก ซึ่งยืนยันได้ว่าแฟมิลี่มาร์ทมีศักยภาพมากเพียงใด? “มาซาอะกิ โคซากะ” กรรมการบริหาร ฝ่ายธุรกิจต่างประเทศ บริษัท แฟมิลี่มาร์ท ประเทศญี่ปุ่น เล่าให้ฟังถึงแผนการดำเนินธุรกิจต่อจากนี้ว่า แฟมิลี่มาร์ทฯเตรียมเดินหน้าขยายสาขาไปยังต่างประเทศเพิ่มขึ้นอีกหลายสิบเท่าตัว โดยเฉพาะในกลุ่มอาเซียน ที่สำคัญยังให้ความสำคัญหรือโฟกัสให้ชัดมาที่กลุ่มประเทศในลุ่มแม่น้ำโขง หรือจีเอ็มเอสมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น สปป.ลาว กัมพูชา หรือเมียนมาร์ เป็นต้น จากเดิมที่ขยายสาขาไปแล้วทั้งในจีน, เกาหลีใต้, ไต้หวัน, ฟิลิปปินส์, เวียดนาม, อินโดนีเซีย, สหรัฐอเมริกา และไทยที่สำคัญ…ในอนาคตยังมีความเป็นไปได้ที่จะร่วมมือกับ “เครือ เซ็นทรัล” เพื่อเข้าไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านรอบ ๆ ไทยอีกด้วย ขณะที่การขยายสาขาทั้งหมดในปีนี้ คาดว่าจะใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 91,300 ล้านเยน หรือ 29,216 ล้านบาท แบ่งเป็นการขยายสาขาใหม่ในญี่ปุ่น 1,500 สาขา เพิ่มขึ้นประมาณ 15% จากขณะนี้ที่มี 10,245 สาขา และต่างประเทศ 1,000 สาขา แบ่งเป็นการขยายสาขาที่ไทยเป็นหลักจำนวน 300 สาขา เพิ่มขึ้นประมาณ 30% จากขณะนี้ที่มี 1,048 สาขา, จีน 200-300 สาขา เพิ่มขึ้นประมาณ 20-30% จากที่มี 1,064 สาขา,  เวียดนาม 80 สาขา เพิ่มขึ้นประมาณ 400% จากขณะนี้มีอยู่ 20 สาขา และอื่น ๆ อีกประมาณ 300 สาขา ซึ่งการเดินหน้าขยายสาขาอย่างดุเดือดขนาดนี้ แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจในความพร้อมของแฟมิลี่มาร์ทอย่างชัดเจน การที่บริษัทแม่ให้น้ำหนักกับการขยายสาขาในไทยมากเช่นนี้ เป็นเพราะต้องการหมายมั่นปั้นมือให้ไทยเป็นฮับหรือศูนย์กลางรวมถึงเป็นต้นแบบในการขยายสาขาไปยังภูมิภาคอื่นต่อไปในอนาคต เนื่องจากไทยมีความพร้อมหลายด้าน โดยเฉพาะการบริหารจัดการธุรกิจค้าปลีกที่ล้ำหน้ากว่าประเทศอื่นไปไกลมากแล้ว ประกอบกับไทยมีทำเลที่ตั้งเป็นศูนย์การคมนาคมไปประเทศโดยรอบ ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกในด้านการขนส่งสินค้า และที่สำคัญชาวไทยมีหัวใจรักการบริการ จึงทำให้ไทยได้รับตำแหน่งที่สำคัญครั้งนี้ ไม่เพียงเท่านี้ นายโคซากะ ยังตอกย้ำไว้ด้วยว่า ไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพมาก เห็นได้จากพัฒนาการและการแข่งขันของธุรกิจนี้ในไทยที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว ทำให้แฟมิลี่มาร์ท ต้องทุ่มเงินอีกกว่า 100 ล้านเยน หรือประมาณ 32 ล้านบาท เพื่อตั้งโรงเรียนฝึกหัดพนักงานหรืออะคาเดมี ขึ้นที่ไทยเป็นแห่งแรกในโลก โดยโรงเรียนนี้จะนำเอาพนักงานจากหลากหลายประเทศมาฝึกหัดเพื่อมาร่วมงานแฟมิลี่มาร์ททั่วโลก เป็นการเตรียมพร้อมในรับการขยายตัวอย่างมหาศาลในอนาคต ขณะที่ “ณัฐ วงศ์พานิช” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ บริษัท เซ็นทรัล แฟมิลี่มาร์ท จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจร้านแฟมิลี่มาร์ทในไทย ยืนยันว่า ภายในอีก 4 ปีจากนี้หรือภายในปี 2561 จะเดินหน้าขยายร้านแฟมิลี่ มาร์ทให้ได้ 3,000 สาขา ตามที่ได้วางแผนไว้ โดยในปี 2557 นี้จะใช้เงินงบประมาณ 1,300 ล้านบาท เพื่อขยายสาขาใหม่ 300 สาขา พัฒนาสาขาเดิม พัฒนาระบบปฏิบัติการ รวมไปถึงการทำตลาดและประชาสัมพันธ์ นอกจากนี้ซีอีโอณัฐ ยังบอกด้วยว่า แม้เวลานี้การแข่งขันจะมีเจ้าตลาดที่แข็งแกร่ง แต่เชื่อว่ายังมีศักยภาพในการขยายสาขาอีกมาก เพราะเมื่อเทียบกับญี่ปุ่นที่มีประชากรมากถึง 125 ล้านคน มีร้านสะดวกซื้อมากกว่า 50,000 สาขา ขณะที่ไทยมีจำนวนประชากร 65 ล้านคน แต่กลับมีร้านสะดวกซื้อกว่า 10,000 สาขา ซึ่งในด้านของพื้นที่ในการขยายสาขานั้น สามารถพัฒนารูปแบบได้หลากหลายให้เหมาะกับแต่ละพื้นที่ เห็นได้จากญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศเล็ก ก็เลยพัฒนารูปแบบร้านมากถึง 10 รูปแบบ ซึ่งต่อจากนี้ในไทยก็สามารถดำเนินรอยตามได้เช่นกัน ที่สำคัญต่อจากนี้รูปแบบการดำเนินธุรกิจแฟมิลี่มาร์ทในไทย จะนำเอาจุดแข็งของการอยู่ภายใต้การบริหารของกลุ่มเซ็นทรัล ด้วยการใช้การผนึกกำลัง เริ่มต้นจากการขยายสาขาร่วมกับบริษัทในเครือเซ็นทรัล เช่น เข้าไปเปิดสาขาในอาคารสำนักงานดิออฟฟิศเซส แอท เซ็นทรัลเวิลด์  รวมถึงการนำเอาสินค้าของร้านอาหารในเครือเข้ามาจำหน่ายร่วมด้วย อีกหนึ่งยุทธศาสตร์สำคัญ…คือบริษัทจะเน้นขายสินค้าในกลุ่มอาหารเพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทเล็งเห็นแล้วว่าสินค้าในกลุ่มอาหารจะเป็นตัวผลักดันให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ เห็นได้จากร้านต้นแบบในญี่ปุ่น ที่มีอาหารจำหน่ายเป็นหลัก ทั้ง อาหารแช่เย็น อาหารแช่แข็ง อาหารพร้อมทาน รวมไปถึงของว่างต่าง ๆ โดยตั้งเป้าหมายกระตุ้นยอดขายสินค้าอาหารให้เป็นสัดส่วน 70% ของยอดขายทั้งหมด จากตอนนี้ที่มีอยู่ 62% ให้ได้. พิชชาพร อยู่เลี้ยงพันธ์

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : ‘แฟมิลี่มาร์ท’ดันไทยต้นแบบจับมือเซ็นทรัลตะลุยอาเซียน

Posts related