นายยุทธนาเศรษฐปราโมทย์ ผู้อำนวยการหลักสูตรเศรษฐศาสตร์การเงิน คณะพัฒนาการเศรษฐกิจสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)เปิดเผยในงานสัมมนาวิชาการเรื่องผลของวิกฤตการเมืองกับเศรษฐกิจไทย ปี 57 ว่าปัญหาทางการเมืองภายในประเทศไทยเป็นปัจจัยเสียงที่สำคัญต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในปี57 โดยนิด้าคาดว่าหากในไตรมาสที่2 สถานการณ์เริ่มคลี่คลายลงโดยมีการเลือกตั้งรวมทั้งมีข้อตกลงเกี่ยวกับแนวทางการปฏิรูปและจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้จะส่งผลดีต่อการขยายตัวในช่วงครึ่งปีหลัง ทำให้เศรษฐกิจไทยโตประมาณ 2.6% แต่ถ้าสถานการณ์ยังยืดเยื้อถึงช่วงครึ่งปีหลังประกอบกับเศรษฐกิจโลกยังชะลอตัวต่อเนื่อง โดยประเมินสถานการณ์ร้ายแรงที่สุดเชื่อว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้เพียง 1.4%เท่านั้น ทั้งนี้ปัจจัยเสี่ยงสำคัญของปัญหาทางการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจนั้นจะส่งผลโดยตรงต่อรายจ่ายภาครัฐบาล ทั้งด้านการบริโภคและการลงทุนซึ่งเกิดจากความไม่แน่นอนของการจัดตั้งรัฐบาล ยังมีรัฐบาลรักษาการอยู่ยาวนานรวมทั้งยังมีกลุ่มผู้ชุมนุมเดินทางไปปิดสถานที่ราชการจะมีผลต่อการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐอย่างมาก ขณะเดียวกันการปิดสถานที่สำคัญในย่านธุรกิจยังส่งผลถึงการบริโภคเอกชนและรายได้จากการท่องเที่ยวลดลงด้วยนอกจากนี้ในด้านการลงทุนภาคเอกชนยังมีความเสี่ยงด้านนโยบายเศรษฐกิจจากการที่ดารเมืองไม่มีเสถียรภาพโดยปัจจัยทั้งหมดจะส่งผลกระทบทันทีต่อเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ในอัตราที่ต่ำ “ถ้าการชุมนุมยังยืดเยื้อ แม้ว่าในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมากลุ่มผู้ชุมนุมจะลดระดับย้ายไปชุมนุมจุดเดียว โดยในเดือนพ.ค.-มิ.ย.57 หากจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้การปฏิรูปไม่ชัดเจน จะมีผลไปถึงครึ่งปีหลัง ซึ่งการประเมินขั้นรุนแรงที่สุดซึ่งรวมปัญหาทางการเมืองของไทย และเศรษฐกิจโลก เช่น สถานการณ์ของสหรัฐฯและรัสเซียรุนแรงขึ้นจะทำให้การบริโภคลดลงเหลือ 0.4% ส่วนการลงทุนจะติดลบ 3.3% ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยโตเพียง1.4% แม้ว่าการส่งออกจะค่อยๆฟื้นตัวดีขึ้นมาก็ตามจึงถือว่าน่าเป็นห่วงอย่างมาก หากปล่อยให้สถานการณ์เป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ” 

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : “นิด้า”คาดหากการเมืองลากยาวจีดีพีโตแค่1.4%

Posts related