นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า จากการเดินทางไปศึกษาเรียนรู้เศรษฐกิจในแต่ละประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอาเซียน จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น พบว่า หากมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 58 แล้ว ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมหรือส่งเสริมธุรกิจด้านของเพศที่ 3 ในไทยจะมีความโดดเด่นมากที่สุด เนื่องจากไทยได้เปิดกว้างในเรื่องนี้ และสังคมไทยได้ยอมรับคนกลุ่มนี้มากขึ้น ต่างจากหลายประเทศที่สังคมไม่ยอมรับ ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องหามาตรการในการกระตุ้นการจัดกิจกรรม ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มคนเพศที่ 3 ให้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวและสร้างรายได้เข้าประเทศอย่างมหาศาล“จากการสอบถามไกด์ในแต่ละประเทศ พบว่ากลุ่มคนเพศที่ 3 เมื่ออยู่ในประเทศนั้น มักทำตัวเป็นผู้ชาย 100% เพราะหลายประเทศกระแสสังคมไม่ยอมรับ ดังนั้นเมื่อได้เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยแล้วคนกลุ่มนี้ก็จะสามารถแสดงออกของตัวตนที่แท้จริงได้เต็มที่ ดังนั้นการส่งเสริมการท่องเที่ยวดังกล่าวต้องมีกิจกรรมดึงดูดในหลายพื้นที่เพื่อสร้างรายได้และการเกิดธุรกิจรองรับจำนวนมากจากปัจจุบันที่มีเมืองพัทยาที่มีความโดดเด่นมากในด้านนี้”นอกจากนี้ยังพบว่าบรรดาแรงงานในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม กัมพูชา พม่า มีความชื่นชอบเจ้าของกิจการที่เป็นคนไทยอย่างมาก โดยเฉพาะแรงงานเวียดนาม จึงต้องการให้ไทยเข้ามาลงทุนในเวียดนามมากขึ้น เนื่องจากนายจ้างคนไทยดูแลลูกจ้างดีรวมถึงไม่มีการทำร้ายร่างกายเหมือนนายทุนต่างชาติจากบางประเทศที่แรงงานเหล่านั้น อ้างว่ามีการทำร้ายร่างกายหรือต่อว่าอย่างรุนแรงในกรณีที่ทำงานผิดพลาดหรือทำไม่ได้ตามเป้าหมาย“ที่ผ่านมานักลงทุนจากไทยได้ไปลงทุนในประเทศอาเซียนไม่มากนักหากเทียบกับประเทศในกลุ่มอาเซียนด้วยกัน เช่น การลงทุนในเวียดนาม มูลค่าโครงการลงทุนไทยอยู่ในอันดับ 3 รองจากสิงคโปร์ และ มาเลเซีย ส่วนมูลค่าลงทุนในประเทศกัมพูชา พบว่าไทยอยู่อันดับ 2 รองจาก สิงคโปร์, มูลค่าลงทุนในอินโดนีเซีย พบว่าไทยอยู่อันดับ 3 รองจาก สิงคโปร์ และ มาเลเซีย และ ในพม่า พบว่าไทยอยู่อันดับ 1 ของอาเซียน โดยกิจการส่วนใหญ่ที่ไทยไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เสื้อผ้า เกษตรแปรรูป โรงสีข้าว รองเท้า การผลิตเหมืองแร่ พลังงาน น้ำมัน อุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป เป็นต้น”สำหรับในส่วนของมูลค่าเงินลงทุนจากต่างชาติ (เอฟดีไอ) จากทั่วโลกที่เข้ามาลงทุนในอาเซียนในช่วง 4 ปีทีผ่านมา (53-56) ไทยอยู่ในอันดับ 4 โดยอันดับ 1 เป็นสิงคโปร์ มูลค่า 230,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รองลงมาเป็น อินโดนีเซีย มูลค่า 70,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ, มาเลเซีย มูลค่า 43,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ, ไทย มูลค่า 36,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ, เวียดนาม มูลค่า 32,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ, ฟิลิปปินส์ มูลค่า 10,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ, พม่า มูลค่า 8,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ,กัมพูชา มูลค่า 4,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ ลาว มูลค่า 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐนายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ขณะนี้มีบริษัทคนไทยที่ไปลงทุนในเวียดนามประมาณ 100 รายส่วนใหญ่ประสบความสำเร็จอย่างดี เนื่องจากเวียดนามมีประชากร 92 ล้านคนมากกว่าไทยที่มีประชากร 65 ล้านคน ขณะที่อัตราการขยายตัวทางเสรษฐกิจในปีนี้คาดว่าจะอยู่ในระดับ 5-6% ซึ่งส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยค่อนข้างประสบความสำเร็จมาก อย่างไรก็ตามทราบว่าปัจจุบันมีเอสเอ็มอีสนใจเข้าไปลงทุนในเวียดนามมากแต่หลายรายไม่กล้าเสี่ยงเข้าไปลงทุนเพราะกลัวว่าจะขาดทุน ดังนั้นทางหอการค้าไทยจะมีการจัดโครงการให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ประสบความสำเร็จเป็นพี่เลี้ยงเอสเอ็มอีที่จะไปลงทุน สำหรับรายใหญ่ที่ประสบความเร็จในเวียดนาม เช่น บริษัท ปตท. กลุ่มเครือเจริญโภคภัณฑ์ บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ บมจ.อมตะ คอร์ปอเรชัน และเครือเอสซีจี เป็นต้น"สถานการณ์ของประชากรของเวียดนามพบว่า มีประชากรในวัยแรงงานจำนวนมากและมีค่าแรงต่ำ โดยประชากรทั้งหมด 92 ล้านคน จำนวนนี้เกือบ 60% ของทั้งประเทศอายุต่ำกว่า 35 ปี ซึ่งล้วนอยู่ในวัยทำงานและมีการใช้จ่าย, คนเวียดนามมีความขยันขันแข็ง โดยเฉพาะสตรี จะทำงานหนักและมีความรับผิดชอบสูง, เป็นผู้รักการศึกษา, สนใจเทคโนโลยีใหม่ๆ"

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : แนะส่งเสริมธุรกิจเพศที่3กระตุ้นท่องเที่ยว

Posts related