นายชโย   ตรังอดิศัยกุล  เลขาธิการกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยาง เปิดเผยว่า คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ได้เสนอให้รัฐเร่งออกมาตรการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำจำนวน 15,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยาง ขยายกำลังการผลิตแปรรูปผลิตภัณฑ์ยาง ให้ขยายกำลังซื้อยางพารา ภายในประเทศ ซึ่งรัฐบาลที่ผ่านมา ได้อนุมัติให้ธนาคารออกสิน พิจาณารายและเอียด และจะนำเรื่องนี้เข้าสูที่ประชุมคณะกรรมการธนาคารออมสินต่อไป  นอกจากนี้ยังเสนอให้ภาครัฐจัดตั้งศูนย์วิจัยพัฒนา ตรวจสอบมาตรฐานผลิตภัณฑ์ และสนามทดสอบมูลค่า 400 ล้านบาท เนื่องจากปัจจุบันสินค้าผลิตภัณฑ์ยางของไทย ถูกกีดกันจากมาตรฐานต่างๆเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงต้องมีหน่วยงานตรวจสอบ และให้ใบรับรองมาตรฐานในอุตสาหกรรมยาง ที่สามารถใช้ได้ทั่วโลก โดยเฉพาะยางล้อรถยนต์เพราะมีสัดส่วนสูงสุด 65-70% ของผลิตภัณฑ์ยางทั้งหมด  “ ขณะนี้มีหน่วยงานตรวจสอบมาตรฐานผลิตภัณฑ์ยางอยู่ 2 แห่ง คือที่สถาบันยานยนต์ และศูนย์วิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมยางไทย มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งเห็นว่า ควรจะมอบหน้าที่ตรวจสอบมาตรฐานผลิตภัณฑ์ยางให้อยู่ในความรับผิดชอบของมหาวิทยาลัยมหิดล เพราะว่ามีการวิจัย และพัฒนารวมอยู่ด้วย เพื่อรองรับมาตรฐานยางล้อใหม่ของสหรัฐฯและยุโรป เช่น มาตรฐานเรื่องเสียง และการประหยัดน้ำมันเป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะต้องมีการวิจัยและพัฒนา จึงจะผลิตผลิตภัณฑ์ยางที่มีคุณภาพสูงได้”  ทั้งนี้ในปัจจุบันไทยผลิตยางพาราได้ประมาณ 4 ล้านตัน ในจำนวนนี้นำไปแปรรูปเพียง 13% ที่เหลือส่งออกในรูปวัตถุดิบ ซึ่งทำให้สูญเสียโอกาสสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยาง ได้มีเป้าหมายว่าภายในปี 60 จะเพิ่มสัดส่วนการแปรรูปยางเป็น 20% ซึ่งจะเพิ่มมูลค่าส่งออกยางจากปัจจุบัน 250,000 ล้านบาท เพิ่มเป็นเกือบ 400,000 ล้านบาท ซึ่งหากรัฐได้ให้การสนับสนุนเงินกู้ 150,000 ล้านบาท และตั้งศูนย์วิจัยพัฒนาและทดสอบมาตรฐานผลิตภัณฑ์ยาง  “เชื่อว่าหากเพิ่มสัดส่วนการแปรรูปยางพาราเป็น 20% จะช่วยดึงปริมาณยางพาราออกจากตลาดโลกได้ส่วนหนึ่ง ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่ายางพาราในตลาดโลกได้มาก เพราะว่าในขณะนี้ความต้องการยางของตลาดโลกมีประมาณ 12 ล้านตันต่อปี และปริมาณการผลิตก็อยู่ที่ 12 ล้านตันต่อปีเช่นเดียวกัน จึงอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งในฐานะที่ไทยเป็นผู้ผลิตยางพาราอันดับ 1 ของโลก หากลดปริมาณยางส่งออกยางให้ต่ำกว่าตลาดโลกเพียงนิดเดียว ก็จะสร้างความแตกตื่นเพิ่มราคายางได้มาก”  อย่างไรก็ตาม ในอนาคตอีก 5 ปีข้างหน้า มีความเสี่ยงที่ราคายางตลาดโลกจะต่ำลง เนื่องจากไทยจะเพิ่มผลผลิตจาก 4 ล้านตันต่อปี เป็น 5 ล้านตันต่อปี ขณะที่อินโดนีเซีย กำลังอยู่ระหว่างการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต คาดว่าจะมีปริมาณเพิ่มจาก 3 ล้านตัน เป็น 6 ล้านตันต่อปี รวมทั้งยังมียางพาราจากประเทศอื่นๆที่ได้เพิ่มกำลังการผลิตจะทำให้ปริมาณผลผลิตเกิดความต้องการของตลาดอยู่มาก และจะฉุดให้ราคายางพาราต่ำกว่าราคาในปัจจุบันที่ 50 บาทต่อกก. แต่จะต้องติดตามว่า เศรษฐกิจยุโรป และสหรัฐฯ จะฟื้นตัวตามวัฎจักรทางเศรษฐกิจที่อาจจะฟื้นตัวเต็มที่ในช่วง 5 ปีต่อจากนี้ ซึ่งอาจจะช่วยบรรเทาปัญหาราคายางได้บ้าง      

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : ชงรัฐกู้เงิน15,000ล้านหนุนอุตฯยาง

Posts related