นับตั้งแต่รัฐบาลปิดโครงการรถยนต์คันแรกไปเมื่อปีที่ผ่านมา ตลาดซื้อขายรถยนต์มือสองในประเทศ ไทยก็เริ่มกลับมาคึกคักมากขึ้น เนื่องจากความต้องการการใช้รถของประชาชนยังมีอยู่เสมอ เช่น เมื่อใดที่ต้องการมีรถคันใหม่ ก็ต้องขายรถคันเก่าออกไปยังเต็นท์รถมือสอง หรือเมื่อราคาของรถใหม่สูง ตลาดรถมือสองก็จะกลับมาเป็นตัวเลือกสำคัญในโอกาสนี้จึงเป็นช่วงเวลาที่ดีที่ กัลลิเวอร์ อินเตอร์ เนชันแนล บริษัทที่ประสบความสำเร็จด้านการทำธุรกิจรถมือสอง ในญี่ปุ่นมากกว่า 20 ปี จะเข้ามาเปลี่ยนประวัติศาสตร์รถยนต์มือสองในเมืองไทย โดยนำคณะสื่อมวลชนจากประเทศไทยไปดูตลาดรถยนต์มือสองในญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เห็นภาพการทำงานของกัลลิเวอร์ฯชัดเจนว่าทำอย่างไร จึงสามารถขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งได้ โดยมี นายคัทซิชิ โนมูระกรรมการผู้จัดการ บริษัท วี-กัลลิเวอร์ กล่าวถึงความพร้อมการเข้ามารุกขยายกิจการรถมือสองในประเทศไทย

“หากดูแนวโน้มการขยายตัวของธุรกิจรถยนต์มือสองในประเทศญี่ปุ่นขณะนี้หากเทียบครัวเรือนในญี่ปุ่น พบว่ามีรถยนต์สัดส่วน 80% ของจำนวนครัวเรือน แต่สำหรับประเทศไทยมีประมาณ 13% ของจำนวนครัวเรือน จึงเชื่อว่าตลาดรถยนต์มือสองในไทย ยังเติบโตได้อย่างแน่นอน และเป็นโอกาสดีที่เข้ามาเพื่อขยายฐานการตลาด และสร้างทางเลือกที่ดีให้กับลูกค้าชาวไทย”ดังนั้นเมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา บริษัท วี-กัลลิเวอร์ ได้เริ่มเปิดธุรกิจรถมือสองเป็นสาขาแรกที่บริเวณถนนศรีนครินทร์ และขยายต่อมาเรื่อย ๆ จนขณะนี้มีสาขาแล้วถึง 5 สาขา คือ นวมินทร์, เชียงใหม่, ถนนศรีนครินทร์ สมุทรปราการ, หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และ นครสวรรค์ โดยทุกสาขามีลักษณะเป็นการเปิดแบบแฟรนไชส์ กับบริษัท วี-กัลลิเวอร์ เท่านั้น”หลังจากนี้ วี-กัลลิเวอร์เริ่มพัฒนาระบบซื้อขายรถมือสองให้เป็นมาตรฐานที่ดี ทั้งด้านการประเมินราคารถ ราคาขายรถ และราคารับซื้อรถ รวมถึงการบริการหลังการขายที่จะมีแพ็กเกจการดูแลรถยนต์เพิ่มเติมให้ลูกค้าที่สนใจสามารถซื้อเพิ่มเติมได้ และว่าการบริการนี้หาไม่ได้ในเต็นท์รถทั่วไปแน่นอน

“การเข้ามารุกเปิดตลาดทำธุรกิจรถมือสองในเมืองไทย เพราะมีจุดแข็งคือ ระบบการประเมินราคารถ การตรวจสภาพรถก่อนซื้อได้อย่างแม่นยำ รวมถึงการมีความชำนาญด้วยกลยุทธ์การขายที่มีประสบการณ์ยาวนาน ที่สามารถปิดการขายและส่งมอบรถได้อย่างรวดเร็ว”สำหรับการทำตลาดในไทย จะเร่งทำใน 3 ด้าน คือ ทำตลาดแบบออนไลน์ ทำตลาดในพื้นที่ และผ่านการประชา สัมพันธ์ โดยงบประมาณด้านการทำตลาดหลัก ๆ จะมาจากรายได้ของการขายธุรกิจแฟรนไชส์ ส่วนจุดคุ้มทุนของการเปิดธุรกิจในประเทศไทยนั้นคาดว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 2 ปีครึ่งต้องยอมรับว่าหลังการร่วมทุนถือเป็นจังหวะที่เศรษฐกิจไทยไม่ค่อยดีนัก ประกอบกับรัฐบาลไทยมีโครงการรถยนต์คันแรก จึงส่งผลกระทบต่อการขยายตัว และกดราคาของรถมือสองลงประมาณ 30% เพราะรถยนต์ใหม่ที่รัฐบาลไทยสนับสนุนให้ซื้อเป็นรถอีโค่คาร์ ที่มีราคาไม่สูงนัก หากเทียบกับราคารถมือสอง ส่งผลให้เต็นท์รถมือสองจำนวนมากต้องปิดกิจการลง แต่ปัจจุบันเริ่มเห็นแนวโน้มของเศรษฐกิจไทยว่าเติบโตไปในทางที่ดีขึ้น ดังนั้นวี-กัลลิเวอร์จึงต้องเร่งสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มลูกค้า และผู้ที่สนใจทำธุรกิจเต็นท์รถมือสองให้ได้ คาดว่าในสิ้นปีนี้จะมีสาขาเพิ่มขึ้นเป็น 10 แห่ง ในปี 58 เพิ่มขึ้นอีก 100 แห่ง และในปี 60 ตั้งเป้าหมายว่าจะมีโชว์รูมรถยนต์มือสองถึง 300 แห่งทั่วประเทศอย่างไรก็ตามการเข้ามารุกสยายปีก เปิดสาขาที่ประเทศ ไทยนอกจากทำให้ภาพลักษณ์ของเต็นท์รถมือสองดีขึ้น และสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภค รวมทั้งเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีในอนาคต แล้ววี-กัลลิเวอร์ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ อนาคตจะใช้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางขยายธุรกิจไปยังกลุ่มอาเซียนด้วย.เอวิกานต์ บังคง

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : ‘วี-กัลลิเวอร์’ สยายปีก ตลาดรถมือสองในไทย

Posts related