น.ส.จุฬารัตน์ สุธีธร ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า ฟิทช์ เรทติ้งส์ สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือต่างประเทศ อาจปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ (เครดิต) ของไทยในอนาคต หากประเทศขาดรัฐบาลที่มีอำนาจในการบริหารงานอย่างแท้จริง จนก่อให้เกิดความอ่อนแอในการกำหนดกรอบนโยบายทางเศรษฐกิจ และความไม่แน่นอนทางการเมืองที่อาจตึงเครียดและยืดเยื้อที่บั่นทอนแนวโน้มการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพทางการเงินในระยะกลาง รวมทั้ง ระดับหนี้สาธารณะของไทยอาจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของภาระผูกพันที่อาจก่อให้เกิดหนี้ ที่จะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงอันดับความน่าเชื่อถือ “แนวโน้มด้านการเมืองในระยะใกล้ยังคงมีความไม่แน่นอน โดยเฉพาะความตึงเครียดทางการเมืองที่ยืดเยื้อขึ้นอาจจะก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะทำให้การชะลอตัวของเศรษฐกิจยาวนานขึ้นและบั่นทอนความเชื่อมั่นของตลาด ทั้งความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคธุรกิจ ส่งผลให้ ฟิทช์ คาดการณ์ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของไทย (จีดีพี) ปี 57 อยู่ที่ 2.5% และปี 58 อยู่ที่ 3.7% เมื่อเทียบกับการเติบโตของปี 56 ที่ผ่านมา อยู่ที่ 2.9% ทำให้อัตราการเจริญเติบโตเฉลี่ย 5 ปี ลดลงอยู่ที่ 3% ซึ่งต่ำกว่าค่ากลางของประเทศในกลุ่มอันดับความน่าเชื่อถือ บีบีบี และ เอ และในที่สุดอาจจะสร้างแรงกดดันต่ออันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ” อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ฟิทช์ฯ ยังคงเครดิตของไทยไว้ โดยยืนยันเครดิตตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศ ที่ระดับ บีบีบี บวก และสกุลเงินบาทของรัฐบาล ที่ระดับ เอ ลบ และมุมมองที่มีเสถียรภาพ รวมทั้ง ยืนยันอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันไม่ด้อยสิทธิ์สกุลเงินตราต่างประเทศ ที่ระดับ บีบีบี บวก และสกุลเงินบาท ที่ระดับ เอ ลบ และยืนยันเครดิตตราสารหนี้ระยะสั้นสกุลเงินต่างประเทศของรัฐบาล ที่ระดับ เอฟ 2 และเพดานเครดิตประเทศ ที่ระดับ เอ ลบ ทั้งนี้ ปัจจัยหลักที่มีผลต่อการยืนยันเครดิตและแนวโน้มเครดิตในครั้งนี้ เนื่องจากประเทศไทยมีสถานะภาคต่างประเทศที่แข็งแกร่งและกรอบนโยบายทางการเงินที่มั่นคง รวมทั้ง ตัวชี้วัดหลักด้านการคลังภาครัฐอยู่ในระดับที่ดีเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในกลุ่มอันดับความน่าเชื่อถือเดียวกัน ซึ่งช่วยให้เศรษฐกิจไทยสามารถรองรับความผันผวนที่เกิดจากการลดมาตรการผ่อนคลายทางการเงินของสหรัฐ (คิวอี) และความตึงเครียดทางการเมืองภายในประเทศที่ได้ก่อตัวขึ้นอีกครั้งเมื่อต้นเดือนพ.ย.56 ขณะเดียวกัน ภาคการคลังของไทยเกือบทั้งหมดยังคงมีเสถียรภาพ โดยสัดส่วนหนี้ของรัฐบาลต่อจีดีพี อยู่ที่ 31.9% ณ สิ้นปีงบประมาณ 56 ซึ่งต่ำกว่าค่ากลางของประเทศในกลุ่มอันดับความน่าเชื่อถือ บีบีบี และ เอ โดย ฟิทช์ฯ มองว่า ในระยะสั้นนี้ ความผันผวนทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นได้จำกัดอำนาจรัฐบาลรักษาการในการดำเนินการตามแผนการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานฯ ซึ่งจะหักกลบกับรายได้จากการจัดเก็บภาษีที่อาจลดลง รวมถึงผลจากการเปลี่ยนแปลงด้านรายได้และรายจ่าย อาจทำให้ความน่าเชื่อถืออ่อนแอลง หากไทยไม่สามารถผลักดันมาตรการและการปฏิรูปเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตได้สำเร็จ
ขอขอบคุณแหล่งที่มา : ฟิทช์อาจลดเครดิตไทยหากไม่มีรัฐบาลบริหารงาน
Posts related
- ธุรกิจน้ำดื่มใสสะอาด เพราะชีวิตขาดน้ำไม่ได้!
- ธุรกิจเสื้อผ้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจส่งออกสินค้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจร้านดอกไม้กับความรัก ความยินดี และ ความสดชื่นของชีวิต
- ธุรกิจโรงแรมรีสอร์ทที่พัก ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจร้านกาแฟ คุณคิดว่าคนที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ จะมีสักกี่วันที่หยุดดื่ม? น่าลองขายนะ!
- ธุรกิจซักอบรีด รูปแบบไหนดีที่สุด?
- ธุรกิจค้าปลีกสินค้า ดีไม?ดียังไง?
- ธุรกิจร้านเบเกอรี่ รูปแบบไหนดีที่สุด?
- ธุรกิจขายส่งสินค้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- อาชีพเสริมรายได้เสริม เมื่อมีรายได้หลายทางย่อมดีกว่ารายได้ทางเดียว
- 10 อาชีพเสริมที่น่าสนใจ
- อาชีพเสริม ถ้าไม่เริ่มทำตอนนี้แล้วจะรวยตอนไหน?
- ธุรกิจสปา ดีไม?ดียังไง?
- ธุรกิจคาร์แคร์ ดีไม?ดียังไง?
- 6 รูปแบบธุรกิจออนไลน์ที่ใครก็ทำได้ง่ายๆ
- 5 Trendsของยุค2020ที่จะนำไปสู่ธุรกิจชั้นนำที่น่าสนใจ
- แบบทดสอบประเมินตัวคุณเป็นยังไงและควรจะทำธุรกิจแนวไหนดี
- ความแตกต่างระหว่างธุรกิจส่วนตัวกับอาชีพอื่นๆ
- จะเริ่มต้นขายของออนไลน์ได้อย่างไร
- 5 ขั้นตอนการเริ่มต้นเปิดร้านค้าออนไลน์
- เทคนิคในการเลือกธุรกิจแฟรนไชส์ที่น่าสนใจ
- ทำไมต้องธุรกิจแฟรนไชส์ ดียังไง
- 5 เทคนิคควรรู้ก่อนตั้งชื่อธุรกิจออนไลน์
- 5 สิ่งที่ต้องห้ามเมื่่ออยากทำธุรกิจส่วนตัว
- 7 เทคนิคพื้นฐานสร้างธุรกิจSMEให้รอด
- จะเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวยังไงเริ่มจากไหนดี?
- ทำไมจะต้องทำธุรกิจส่วนตัว?
- ความรู้เบื้องต้นความหมายธุรกิจSMEs