ณ วันนี้ ชื่อของ “สุพันธุ์ มงคลสุธี” ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซินเน็ค (ประเทศไทย) คงก้าวขึ้นแท่นประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) คนที่ 14 แบบไม่พลิกโผแน่ หลังจากผลการเลือกตั้งคณะกรรมการ ส.อ.ท. ฝั่ง “สุพันธ์” ชนะ “วิศิษฎ์ ลิ้มประนะ” ผู้สมัครชิงตำแหน่งอีกรายแบบขาดลอย โดยในวันที่ 8 เม.ย.นี้ คณะกรรมการ ส.อ.ท.ชุดใหม่ จะลงคะแนนเสียงเพื่อเลือกประธาน ส.อ.ท. กันอย่างเป็นทางการอีกครั้ง แม้บรรยากาศของการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 17 มี.ค. ที่ผ่านมา ได้ออกอาการสะดุดหงุดหงิดกันไปบ้างในช่วงระหว่างวัน แต่สุดท้าย! ทุกอย่างสามารถจบลงด้วยภาพแห่งความปรองดอง โดยข้างผู้พ่ายแพ้ได้แสดงสปิริต ยอมรับผลการแข่งขัน พร้อมจับไม้จับมือแสดงความยินดีด้วยใจจริง ภาพที่ออกมา…เป็นความพยายามที่ทั้งผู้ชนะและผู้พ่ายแพ้ ต้องการลบภาพความแตกแยกในองค์กรให้หมดสิ้น ที่สำคัญยังเป็นนโยบายหลักในการหาเสียงของแต่ละฝ่าย หลังจากที่ก่อนหน้านี้ส.อ.ท. ถูกสังคมตราหน้าว่าเป็นองค์กรเอกชนที่ใหญ่ที่สุดแต่กลับมีความขัดแย้งมากที่สุดในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา แม้ภาพที่เกิดขึ้น จะเป็นเพียงจุดเล็ก ๆ ของการเริ่มต้นแห่งการกู้ภาพลักษณ์กลับคืนมาก็ตาม แต่ถือว่าเป็นการส่งสัญญาณที่ดี เพราะต้องยอมรับว่า ส.อ.ท. ถือเป็นองค์กรเอกชนที่มีบทบาทสำคัญและเป็นหลักในการผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้าอย่างแข็งแกร่ง ภายใต้สมาชิกที่เป็นผู้ผลิต ภาคอุตสาหกรรมทั้งขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก มากกว่า 7,000–8,000 ราย แต่ที่ผ่านมาเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่อองค์กรแห่งนี้กลับเต็มไปด้วยการถูกครอบงำจากฝ่ายการเมืองมาโดยตลอด ทำให้การทำหน้าที่การแสดงบทบาทขับเคลื่อนให้ภาคเอกชนเป็นประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจเป็นไปโดยลำบาก เห็นได้ชัดจากกรณี… นโยบายการปรับขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำ 300 บาท ที่เป็นเรื่องใหญ่เป็นจุดสำคัญที่ทำให้เห็นถึงความแตกแยกขององค์กร จนสร้างความเสียหายให้กับผู้ประกอบการไทยอย่างมาก ด้วยความไม่แข็งแกร่งของผู้นำองค์กร ที่ไม่กล้าปริปากคัดค้านนโยบายของรัฐบาล ที่สร้างความเสียหายให้กับเอกชนแท้จริง ได้แต่ปล่อยให้สมาชิกออกเสียงเรียกร้องด้วยตัวเอง จนสุดท้ายต้องแบกรับภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นถึงปีละ 1.8 แสนล้านบาท “ปัญหาใหญ่ของ ส.อ.ท. ในเวลานี้คือ ผู้นำของ ส.อ.ท. มักเข้าใจบทบาทของตัวเองผิด ชอบคิดว่า ตัวเองเป็นองค์กรระดับชาติ ชอบทำอะไรที่ไม่ใช่หน้าที่ตัวเอง ทั้งที่หน้าที่หลัก คือ การดูแลสมาชิกทั้ง 7,000-8,000 ราย ซึ่งเป็นผู้มีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ ว่า ได้รับความเดือดร้อนอย่างไร มีอะไรที่สามารถสนับสนุนการดำเนินงานของสมาชิก โดยหลักแล้วต้องเป็นกระบอกเสียงให้กับสมาชิกโดยใช้รัฐบาลให้เป็น ไม่ใช่มารับใช้รัฐบาล จนสมาชิกต้องเดือดร้อน ที่สำคัญผู้นำส.อ.ท.ต้องมีวิสัยทัศน์ที่สามารถมองเห็นเศรษฐกิจในอนาคตข้างหน้าและหาทางส่งเสริมให้สมาชิกปรับตัวได้ทัน รวมทั้งตั้งทีมงานที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในแต่ละเรื่องอย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นเพียงแค่รู้ธุรกิจของตัวเอง ทำให้เวลาเจรจากับรัฐบาลไม่สามารถประเมินผลกระทบทั้งระบบได้” ผู้คร่ำหวอดภาคเอกชนระบุ เรื่องนี้เชื่อได้ว่า…คน ส.อ.ท.ต่างรู้ดีถึงปัญหา ถึงภาพลักษณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด แม้แต่นายสุพันธุ์ ก็ตาม เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมานายสุพันธุ์ ได้ออกตัวอยู่เสมอว่า พร้อมชนกับการเมืองในเรื่องที่ถูกต้อง ภายใต้ผลประโยชน์ของสมาชิก เพราะมองว่าการทำงานของ ส.อ.ท. ต้องเป็นเอกภาพ ที่สำคัญกฎหมาย ส.อ.ท. ระบุไว้ชัดเจนอยู่แล้วว่า ต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่ถ้าการเมืองจะเข้ามายุ่ง ก็ควรยุ่งลักษณะสนับสนุนการทำงานร่วมกัน อย่างไรก็ตามในฐานะว่าที่ประธาน ส.อ.ท.คนใหม่….“สุพันธุ์” จึงให้คำมั่นไว้ว่า จากนี้ไปการทำหน้าที่ผู้นำองค์กรนี้ จะมุ่งเน้นดูแลผลประโยชน์ของสมาชิกอย่างจริงจัง ทั้งการสนับสนุนและการช่วยเหลือ เพราะสมาชิก ส.อ.ท.ทั้งหมดมีส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ขณะเดียวกันจะพิจารณาถึงนโยบายของรัฐบาลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วย ไม่ใช่เอาแต่คะแนนเสียง จนทำให้เอกชนเดือดร้อนจนอยู่ไม่ได้ รวมไปถึงแต่งตั้งทีมวิชาการมาวิเคราะห์ข้อมูลให้ชัดเจน ทั้งเรื่องของแรงงาน การค้า การลงทุน การลดต้นทุนของผู้ประกอบการ หรือแนวทางที่ภาครัฐควรสนับสนุน ช่วยเหลือ ทั้งด้านโลจิสติกส์ พลังงาน ภาษี รวมถึงระบบที่ทำให้เกิดความยุติธรรมกับการแข่งขันกับต่างประเทศ การสนับสนุนการค้ากับต่างประเทศ รวมถึงดูแลภาคเอสเอ็มอี ที่เป็นสิ่งที่น่ากังวลอย่างมาก เนื่องจากยังขาดการช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง โดยขอความร่วมมือให้บริษัทขนาดใหญ่ จัดทีมมาดูแลเอสเอ็มอีให้มากขึ้น โดยในเดือน พ.ค.นี้ เตรียมจัดประชุมประธานกลุ่มอุตสาหกรรมและประธานอุตสาหกรรมจังหวัด เพื่อดำเนินงานพัฒนาอุตสาหกรรมในรูปแบบการรวมตัวเป็นคลัสเตอร์ต่อไป มาถึงจุดนี้…คงต้องรอดูว่าส.อ.ท.ภายใต้คณะกรรมการชุดใหม่ ภายใต้ผู้นำคนใหม่ จะสามารถสลัดภาพลักษณ์แห่งการถูกครอบงำจากการเมือง ภาพลักษณ์แห่งความแตกแยก ภาพลักษณ์แห่งการเรียกร้องผลประโยชน์ของตัวเอง ได้หรือไม่?. จิตวดี เพ็งมาก
ขอขอบคุณแหล่งที่มา : จับตาส.อ.ท.กู้ภาพลักษณ์ สลัดคราบแตกแยก-การเมือง
Posts related
- ธุรกิจน้ำดื่มใสสะอาด เพราะชีวิตขาดน้ำไม่ได้!
- ธุรกิจเสื้อผ้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจส่งออกสินค้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจร้านดอกไม้กับความรัก ความยินดี และ ความสดชื่นของชีวิต
- ธุรกิจโรงแรมรีสอร์ทที่พัก ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจร้านกาแฟ คุณคิดว่าคนที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ จะมีสักกี่วันที่หยุดดื่ม? น่าลองขายนะ!
- ธุรกิจซักอบรีด รูปแบบไหนดีที่สุด?
- ธุรกิจค้าปลีกสินค้า ดีไม?ดียังไง?
- ธุรกิจร้านเบเกอรี่ รูปแบบไหนดีที่สุด?
- ธุรกิจขายส่งสินค้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- อาชีพเสริมรายได้เสริม เมื่อมีรายได้หลายทางย่อมดีกว่ารายได้ทางเดียว
- 10 อาชีพเสริมที่น่าสนใจ
- อาชีพเสริม ถ้าไม่เริ่มทำตอนนี้แล้วจะรวยตอนไหน?
- ธุรกิจสปา ดีไม?ดียังไง?
- ธุรกิจคาร์แคร์ ดีไม?ดียังไง?
- 6 รูปแบบธุรกิจออนไลน์ที่ใครก็ทำได้ง่ายๆ
- 5 Trendsของยุค2020ที่จะนำไปสู่ธุรกิจชั้นนำที่น่าสนใจ
- แบบทดสอบประเมินตัวคุณเป็นยังไงและควรจะทำธุรกิจแนวไหนดี
- ความแตกต่างระหว่างธุรกิจส่วนตัวกับอาชีพอื่นๆ
- จะเริ่มต้นขายของออนไลน์ได้อย่างไร
- 5 ขั้นตอนการเริ่มต้นเปิดร้านค้าออนไลน์
- เทคนิคในการเลือกธุรกิจแฟรนไชส์ที่น่าสนใจ
- ทำไมต้องธุรกิจแฟรนไชส์ ดียังไง
- 5 เทคนิคควรรู้ก่อนตั้งชื่อธุรกิจออนไลน์
- 5 สิ่งที่ต้องห้ามเมื่่ออยากทำธุรกิจส่วนตัว
- 7 เทคนิคพื้นฐานสร้างธุรกิจSMEให้รอด
- จะเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวยังไงเริ่มจากไหนดี?
- ทำไมจะต้องทำธุรกิจส่วนตัว?
- ความรู้เบื้องต้นความหมายธุรกิจSMEs