นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้ไอเอ็มเอฟได้ประเมินเศรษฐกิจประเทศในอาเซียนใน 5 ปีข้างหน้าพบว่าไทยเป็นประเทศเดียวในกลุ่มอาเซียนที่มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไม่เกิน 5% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัญหาทางการเมืองในประเทศ ซึ่งต่างจากประเทศอื่นโดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านไทยที่บางปีจะขยายตัวในระดับ 7-8% เพราะได้รับอานิสงส์จากการขยายตัวของการลงทุนของต่างชาติทำให้ประชากรมีรายได้เพิ่มขึ้น “หากเป็นไปตามที่ไอเอ็มเอฟประเมินก็จะทำให้ภายใน 5 ปีข้างหน้ามูลค่าของเศรษฐกิจในประเทศของไทยจะลดลงจากปัจจุบันที่อยู่ในอันดับ 2 รองจากอินโดนีเซีย มาเป็นอันดับ 4 รองจากอินโดนีเซีย มาเลเซีย และ ฟิลิปปินส์ อย่างไรก็ตามทางศูนย์พยากรณ์มองว่าเศรษฐกิจไทยยังมีความเข้มแข็งหากการเมืองนิ่งเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะโตเกิน 5%ได้ เพียงแค่มีโครงการลงทุนเมกะโปรเจ็คมาลงทุนต่อเนื่องโดยเฉพาะการลงทุนระบบโลจิสติกส์” สำหรับสถานการณ์ทางการเมืองของไทยที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนั้นคงต้องมีการประเมินกันอีกครั้งในเดือน พ.ค. นี้ว่าจะมีเหตุการณ์รุนแรงมากแค่ไหนและประเทศไทยจะมีรัฐบาลจริงได้เร็วแค่ไหนด้วย แต่เบื้องต้นคาดว่าในไตรมาสที่ 2 เศรษฐกิจไทยมีโอกาสติดลบ 1 หรือขยายตัวในระดับ 0% จากเดิมที่ประเมินไว้ขยายตัว 0-1% และตั้งปีก็มีแนวโน้มที่จะอยู่ในระดับ 0-2% จากเดิมที่ตั้งเป้าขยายตัว 2.5% “หากมีรัฐบาลได้เร็วไม่ว่าวิธีการใดก็ตามก็จะทำให้ครึ่งหลังของปีเศรษฐกิจขยายตัวในระดับ 3-4% ได้และจะเป็นแรงผลักดันให้ปีหน้าเศรษฐกิจขยายตัว ในระดับ 4% ได้ เพราะมีการจัดทำงบประมาณปี 58 และ การจ่ายเงินให้กับชาวนาได้รวดเร็ว” นายวชิร คูณทวีเทพ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน เม.ย. 57 อยู่ระดับ 67.8 ต่ำสุดในรอบ 150 เดือน หรือในรอบ 12 ปี 6 เดือน เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมือง การชะลอตัวลงของเศรษฐกิจไทย และรายได้จากผู้บริโภคลดลงทั้งในส่วนของความล่าช้าของการจ่ายเงินในโครงการรับจำนำข้าวในหลายๆพื้นที่, รวมถึงราคาข้าว ยางพารา ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ตกต่ำ และภาคการส่งออกในไตรมาสแรกที่ปรับตัวลดลง นอกจากนี้ยังพบว่าความเชื่อมั่นเกี่ยวกับการหางานทำในเดือนเม.ย. อยู่ในระดับ 61.9 ต่ำสุดในรอบ 29 เดือน เพราะผู้ประกอบการจำนวนมากชะลอการรับพนักงานใหม่จากปัญหาเศรษฐกิจไม่ดี ขณะที่ดัชนีความเหมาะสมในการซื้อรถยนต์คันใหม่อยู่ที่ 90.8 ต่ำสุดในรอบ 29 เดือน, ดัชนีความเหมาะสมในการซื้อบ้านหลังใหม่ อยู่ในระดับ 56.6 ต่ำสุดรอบ 106 เดือน, ดัชนีความเหมาะสมในการท่องเที่ยว อยู่ในระดับ 66.7 ต่ำสุดในรอบ 75 เดือน และ ดัชนีความเหมาะสมในการลงทุนทำธุรกิจของเอสเอ็มอี อยู่ที่ 57.4 ต่ำสุดในรอบ 106 เดือน
ขอขอบคุณแหล่งที่มา : พิษการเมืองไอเอ็มเอฟคาดศก.ไทยโตไม่เกิน5%
Posts related
- ธุรกิจน้ำดื่มใสสะอาด เพราะชีวิตขาดน้ำไม่ได้!
- ธุรกิจเสื้อผ้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจส่งออกสินค้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจร้านดอกไม้กับความรัก ความยินดี และ ความสดชื่นของชีวิต
- ธุรกิจโรงแรมรีสอร์ทที่พัก ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจร้านกาแฟ คุณคิดว่าคนที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ จะมีสักกี่วันที่หยุดดื่ม? น่าลองขายนะ!
- ธุรกิจซักอบรีด รูปแบบไหนดีที่สุด?
- ธุรกิจค้าปลีกสินค้า ดีไม?ดียังไง?
- ธุรกิจร้านเบเกอรี่ รูปแบบไหนดีที่สุด?
- ธุรกิจขายส่งสินค้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- อาชีพเสริมรายได้เสริม เมื่อมีรายได้หลายทางย่อมดีกว่ารายได้ทางเดียว
- 10 อาชีพเสริมที่น่าสนใจ
- อาชีพเสริม ถ้าไม่เริ่มทำตอนนี้แล้วจะรวยตอนไหน?
- ธุรกิจสปา ดีไม?ดียังไง?
- ธุรกิจคาร์แคร์ ดีไม?ดียังไง?
- 6 รูปแบบธุรกิจออนไลน์ที่ใครก็ทำได้ง่ายๆ
- 5 Trendsของยุค2020ที่จะนำไปสู่ธุรกิจชั้นนำที่น่าสนใจ
- แบบทดสอบประเมินตัวคุณเป็นยังไงและควรจะทำธุรกิจแนวไหนดี
- ความแตกต่างระหว่างธุรกิจส่วนตัวกับอาชีพอื่นๆ
- จะเริ่มต้นขายของออนไลน์ได้อย่างไร
- 5 ขั้นตอนการเริ่มต้นเปิดร้านค้าออนไลน์
- เทคนิคในการเลือกธุรกิจแฟรนไชส์ที่น่าสนใจ
- ทำไมต้องธุรกิจแฟรนไชส์ ดียังไง
- 5 เทคนิคควรรู้ก่อนตั้งชื่อธุรกิจออนไลน์
- 5 สิ่งที่ต้องห้ามเมื่่ออยากทำธุรกิจส่วนตัว
- 7 เทคนิคพื้นฐานสร้างธุรกิจSMEให้รอด
- จะเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวยังไงเริ่มจากไหนดี?
- ทำไมจะต้องทำธุรกิจส่วนตัว?
- ความรู้เบื้องต้นความหมายธุรกิจSMEs