น.ส.จุฬารัตน์ สุธีธร ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือของญี่ปุ่น เรตติ้ง แอนด์ อินเวสเมนท์ อินฟอร์เมชั่น (อาร์แอนด์ไอ) ได้ปรับลดแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือ (เครดิต) ของไทยจากระดับที่มีเสถียรภาพเป็นลบ แต่ยังคงเครดิตของรัฐบาลไทยสกุลเงินต่างประเทศ ที่ระดับ บีบีบี บวก และสกุลเงินบาท ที่ระดับ เอ ลบ เนื่องจากกองทัพไทยได้เข้าควบคุมอำนาจการบริหารประเทศที่ตกอยู่ในวิกฤตทางการเมือง เมื่อวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อฟื้นฟูความเป็นระเบียบเรียบร้อยและปฏิรูปการเมืองภายใต้การปกครองของกองทัพ ทั้งนี้ ยังคงมีความไม่แน่นอนว่าสถานการณ์จะพัฒนาไปในทางที่กองทัพคาดการณ์หรือไม่ หากการจัดการด้านการคลังและเศรษฐกิจยังไม่เป็นไปตามปกติและการปฏิรูปการเมืองไม่มีความคืบหน้า และเศรษฐกิจไทยยังคงหยุดชะงักต่อไป รวมถึงรากฐานทางเศรษฐกิจอาจอ่อนแอลงในระยะกลางถึงยาวได้ ซึ่งยังจำเป็นต้องจับตามองพัฒนาการในด้านต่างๆและปรับลดแนวโน้มความน่าเชื่อถือเป็นลบขณะเดียวกัน หากการปฏิรูปทางการเมืองภายใต้การปกครองของกองทัพขับเคลื่อนไปในทิศทางตรงข้ามกับประชาธิปไตยหรือการเข้าควบคุมอำนาจการปกครองของกองทัพยืดเยื้อออกไป ประเทศต่างๆ เช่น สหรัฐอเมริกาและประเทศพัฒนาแล้วในยุโรปอาจออกมาวิจารณ์กองทัพรุนแรงขึ้นซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการค้าของประเทศไทยกับประเทศเหล่านี้ รวมถึงการลงทุนทางตรง ดังนั้น อาร์แอนด์ไอจะติดตามการจัดการด้านเศรษฐกิจการคลังภายใต้การปกครองของกองทัพและแนวโน้มทางเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด รวมถึงติดตามว่าการปฏิรูปจะดำเนินไปในแนวทางที่ช่วยให้เกิดเสถียรภาพทางการเมืองในระยะกลางถึงยาวหรือไม่“กองทัพได้ระงับใช้รัฐธรรมนูญเป็นการชั่วคราวและจัดตั้งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะ คสช. ที่มีการแถลงว่า จะเข้ามาดูแลกระบวนการอนุญาตการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศและการดำเนินงานด้านงบประมาณที่ได้ล่าช้าไป รวมถึงการจัดทำงบประมาณประจำปี 58 หากความสงบเรียบร้อยกลับคืนมาและการบริหารจัดการฟื้นตัว เศรษฐกิจอาจได้รับผลเชิงบวก เนื่องจากวิกฤตทางการเมืองมีน้ำหนักต่อเศรษฐกิจ”อย่างไรก็ตาม ตามที่อ้างอิงจากกองทัพ การเลือกตั้งทั่วไปจะถูกจัดตั้งขึ้นภายหลังการแก้ไขรัฐธรรมนูญและมีการดำเนินการปฏิรูปทางการเมือง และต่อมาในที่สุดประเทศจะกลับคืนสู่การปกครองของประชาชน แต่เบื้องหลังของวิกฤตทางการเมือง ได้แก่ ความขัดแย้งที่หยั่งรากลึกระหว่างผู้สนับสนุนและผู้ต่อต้านพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่มีรากฐานมาจากความไม่เท่าเทียมกันทางรายได้ระหว่างพื้นที่เมืองกับชนบท บนระบอบประชาธิปไตยแบบอุดมคติที่รวมถึงระบบการเลือกตั้ง ซึ่ง การแก้ไขปัญหาพื้นฐานและจัดตั้งระบบการเมืองที่มีเสถียรภาพนั้นไม่ง่ายนอกจากนี้ อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยได้รับการสนับสนุนจากอุตสาหกรรมผู้ผลิตที่เบื้องต้นประกอบด้วยบริษัทอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และผู้ผลิตรถยนต์ซึ่งเติบโตจากการลงทุนโดยตรง ซึ่งอาร์แอนด์ไอมองว่าความกังวลที่อาจจะเกิดความถดถอยของโครงสร้างการเจริญเติบโตของภาคการผลิตมีเพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ดี ตั้งแต่เกิดการรัฐประหารเมื่อปี 49 เสถียรภาพทางการเมืองได้ลดลง ที่ปฏิเสธไม่ได้ เพราะส่งผลให้การดำเนินนโยบายเพิ่มการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจหยุดชะงักลง รวมถึงมาตรการในการขยายโครงสร้างพื้นฐานและทำให้ภาคการส่งออกเป็นอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : อาร์แอนด์ไอหั่นเครดิตไทย

Posts related