งาน Worldwide Developer Conference (WWDC)ของบริษัทแอปเปิล ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 57 ณเมืองซาน ฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งงานที่ผู้เกี่ยวข้องอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทั่วโลกรวมทั้งผู้บริโภคให้ความสนใจเป็นอย่างมากทุกปีเพื่อรอดูว่าผู้นำด้านนวัตกรรมอย่างแอปเปิลจะมีเทคโนโลยีใหม่ตัวใดมานำเสนอนายธีระ กนกกาญจนรัตน์ นักวิเคราะห์ ICT อาวุโสจาก ฟรอสต์ แอนด์ซัลลิแวน บริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาระดับโลก ได้ให้ความเห็นต่อการแถลงในช่วงKey Note speech ของงานในครั้งนี้ว่านอกเหนือจากการเปิดตัวฟังก์ชั่นและฟีเจอร์บนระบบปฏิบัติการใหม่ของแอปเปิลOS X และ iOS แล้วโดยภาพรวมทิศทางหลักในส่วนของเทคโนโลยีสำหรับผู้บริโภคยังคงเป็นเรื่องของInternet of Things และเทคโนโลยีที่เอื้อต่อการเชื่อมต่อของไลฟ์สไตล์หรือConnected Living“นอกเหนือจากการพัฒนาลูกเล่นและความสามารถบนระบบปฏิบัติการใหม่แล้วแอปเปิลได้เปิดตัว HealthKit และ HomeKit สองเทคโนโลยีที่ตอบสนองต่อเทรนด์การเชื่อมต่อของเทคโนโลยีและไลฟ์สไตล์โดย HealthKit จะเป็นศูนย์กลางในการรับและรวบรวมข้อมูลสุขภาพจากอุปกรณ์ต่างๆเช่นiPhone และอุปกรณ์สวมใส่ที่ช่วยตรวจวัดสภาพการทำงานของร่างกาย เช่นชีพจร คลื่นหัวใจ การใช้งานของร่างกายเข้าด้วยกัน สำหรับ HomeKit จะช่วยเป็นศูนย์ควบคุมและจุดศูนย์กลางสั่งการเทคโนโลยีบ้านอัจฉริยะหรือSmart Home อันรวมถึงระบบรักษาความปลอดภัย แสงสว่างระบบควบคุมอุณหภูมิภายในบ้าน ซึ่งทางแอปเปิลได้ร่วมพัฒนาอุปกรณ์และเทคโนโลยีเหล่านี้ร่วมกับกลุ่มบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าและวิศวกรรมจากทั่วโลกเช่น HoneyWell และ Haier” นายธีระกล่าว“ทั้ง HealthKit และ HomeKit ล้วนเป็นนวัตกรรมต่อยอดจากแนวคิดด้านInternet of Things (IoT) จากแอปเปิลซึ่งหมายถึงการที่อุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆเริ่มมีความฉลาดมากขึ้นและถูกเชื่อมโยงเข้าหากันด้วยอินเทอร์เน็ตในขณะที่ IoT ได้รับการพูดถึงอย่างแพร่หลาย ค่ายผู้ผลิตHardware ต่างพยายามสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และนำเสนอระบบของตัวเองเข้าสู่ตลาดแต่ที่ยังขาดหายไปคือเทคโนโลยีที่สร้างการเชื่อมต่อระหว่างเทคโนโลยีเหล่านี้เข้าด้วยกันรวมทั้งเป็นจุดเชื่อมต่อกับมนุษย์ผู้ใช้งาน ถ้าเรามองในภาพรวมแล้วเราจะเห็นว่าสิ่งที่แอปเปิลพยายามสร้างสรรค์นั้นเป็นนวัตกรรมที่สามารถตอบโจทย์ช่องว่างที่ยังขาดหายไปในส่วนนี้”“แอปเปิลได้ให้ความสำคัญกับการเชื่อมต่อและทำงานร่วมกันของอุปกรณ์ต่างๆหรือ Continuity มากเช่นกัน ในระหว่างแถลงการเปิดงานแอปเปิลได้โชว์เทคโนโลยีHandoff ที่ทำให้อุปกรณ์ต่างๆบนแอปเปิลแพล็ตฟอร์มไม่ว่าจะเป็นiPhone iPad รวมทั้งเครื่อง Mac สามารถทำงานเชื่อมกันได้โดยไร้รอยต่อ” “สิ่งที่น่าสนใจคือเรื่องของ Proximity Awarenessหรือการที่อุปกรณ์ต่างๆมีความสามารถในการรับรู้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องตำแหน่งของอุปกรณ์และผู้ใช้รวมถึงรูปแบบเนื้อหาการใช้งานว่าในขณะนั้นผู้ใช้กำลังทำงานหรือต้องการสื่อสารแบบใดและสามารถให้ความช่วยเหลือแนะนำผู้ใช้ได้อย่างมีประโยชน์โดยในภาพรวมเราจะเห็นได้ว่าทิศทางการคิดค้นและพัฒนานวัตกรรมสำหรับผู้บริโภคทั่วไปนั้นยังคงเดินไปตามเทรนด์Connected Living หรือการที่เทคโนโลยีและอุปกรณ์ต่างๆเหล่านี้จะสร้างความเชื่อมโยงให้เกิดขึ้นทั้งในระดับเทคโนโลยีต่อเทคโนโลยี และไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค” นอกจากนี้แอปเปิลยังเผยว่าจนถึงปัจจุบันได้มีการขายอุปกรณ์ที่ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Ios ไปแล้วมากกว่า800 ล้านเครื่อง เป็น iPod Touch มากกว่า 100 ล้านเครื่อง iPad มากกว่า 200ล้านเครื่อง และเป็นโทรศัพท์ iPhone มากกว่า 500 ล้านเครื่องโดยในช่วงปีที่ผ่านมาแอปเปิลได้ขายอุปกรณ์เหล่านี้ให้กับลูกค้าใหม่มากกว่า130 ล้านราย และแม้ว่าการเติบโตของอุตสาหกรรม PC จะหดตัวลงถึง 5% ในไตรมาสที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับปีที่แล้วแต่ส่วนแบ่งตลาดของ Macs กลับขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 12%“การขยายตัวอย่างรวดเร็วของฐานผู้ใช้งานส่งผลให้ในปัจจุบัน AppStore ของแอปเปิลได้รับความนิยมเป็นอย่างมากมีผู้สนใจเข้าร่วมบนแพล็ตฟอร์มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทั้งจากกลุ่มผู้พัฒนาแอพและกลุ่มผู้ใช้งานจนในวันนี้บน App Store มีแอพให้เลือกมากกว่า 1.2 ล้าน แอพด้วยกัน มีการดาวน์โหลดรวมแล้วมากกว่า 75 พันล้านครั้งและ App Store มีผู้เข้าชมมากกว่า 300 ล้านคนต่อหนึ่งสัปดาห์“ ธีระกล่าว“แอปเปิลยังไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้นแต่ยังเพิ่มความสามารถใหม่ให้กับระบบปฏิบัติการ iOS 8 ที่ช่วยลดข้อได้เปรียบของระบบปฏิบัตการแอนดรอยด์ลงเช่น Extensibility ที่อนุญาตให้แอพต่างๆที่กำลังถูกใช้งานสามารถเชื่อมต่อข้อมูลถึงกันได้บนระบบความปลอดภัยที่รัดกุมของแอปเปิลรวมทั้งเปิดระบบปฏิบัติการให้มีความยืดหยุ่นในการปรับแต่งเพิ่มเติมให้มีลูกเล่นมากขึ้นตามความต้องการของผู้ใช้โดยผู้ใช้มีทางเลือกที่จะเปลี่ยนรูปแบบและหน้าตาของคีย์บอร์ด และเพิ่มเติมwidget ที่อำนวยความสะดวกต่อการใช้งานได้ตามต้องการ และยังเปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ให้นักพัฒนาได้สร้างส่วนต่อเติมมาขายอีกด้วยคุณสมบัติที่กล่าวมานี้ล้วนเคยเป็นข้อได้เปรียบของแอนดรอยด์ที่มีต่อ iOS การเปลี่ยนแปลงรูปแบบของแพลตฟอร์มในครั้งนี้เป็นก้าวใหญ่ของแอปเปิลในการแย่งส่วนแบ่งตลาดผู้ใช้จากแอนดรอยด์“ นายธีระเสริม
ขอขอบคุณแหล่งที่มา : แอปเปิล นำเทรนด์ “Internet of things” และ “Connected Living”
Posts related
- ธุรกิจน้ำดื่มใสสะอาด เพราะชีวิตขาดน้ำไม่ได้!
- ธุรกิจเสื้อผ้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจส่งออกสินค้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจร้านดอกไม้กับความรัก ความยินดี และ ความสดชื่นของชีวิต
- ธุรกิจโรงแรมรีสอร์ทที่พัก ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจร้านกาแฟ คุณคิดว่าคนที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ จะมีสักกี่วันที่หยุดดื่ม? น่าลองขายนะ!
- ธุรกิจซักอบรีด รูปแบบไหนดีที่สุด?
- ธุรกิจค้าปลีกสินค้า ดีไม?ดียังไง?
- ธุรกิจร้านเบเกอรี่ รูปแบบไหนดีที่สุด?
- ธุรกิจขายส่งสินค้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- อาชีพเสริมรายได้เสริม เมื่อมีรายได้หลายทางย่อมดีกว่ารายได้ทางเดียว
- 10 อาชีพเสริมที่น่าสนใจ
- อาชีพเสริม ถ้าไม่เริ่มทำตอนนี้แล้วจะรวยตอนไหน?
- ธุรกิจสปา ดีไม?ดียังไง?
- ธุรกิจคาร์แคร์ ดีไม?ดียังไง?
- 6 รูปแบบธุรกิจออนไลน์ที่ใครก็ทำได้ง่ายๆ
- 5 Trendsของยุค2020ที่จะนำไปสู่ธุรกิจชั้นนำที่น่าสนใจ
- แบบทดสอบประเมินตัวคุณเป็นยังไงและควรจะทำธุรกิจแนวไหนดี
- ความแตกต่างระหว่างธุรกิจส่วนตัวกับอาชีพอื่นๆ
- จะเริ่มต้นขายของออนไลน์ได้อย่างไร
- 5 ขั้นตอนการเริ่มต้นเปิดร้านค้าออนไลน์
- เทคนิคในการเลือกธุรกิจแฟรนไชส์ที่น่าสนใจ
- ทำไมต้องธุรกิจแฟรนไชส์ ดียังไง
- 5 เทคนิคควรรู้ก่อนตั้งชื่อธุรกิจออนไลน์
- 5 สิ่งที่ต้องห้ามเมื่่ออยากทำธุรกิจส่วนตัว
- 7 เทคนิคพื้นฐานสร้างธุรกิจSMEให้รอด
- จะเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวยังไงเริ่มจากไหนดี?
- ทำไมจะต้องทำธุรกิจส่วนตัว?
- ความรู้เบื้องต้นความหมายธุรกิจSMEs