นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ มูดีส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ได้ยืนยันอันดับความน่าเชื่อถือ (เครดิต) ของของพันธบัตรรัฐบาลของประเทศไทยที่ระดับ บีเอเอ 1 พร้อมยืนยันแนวโน้มเครดิตของไทยที่ระดับมีเสถียรภาพ เนื่องจากไทยไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แม้ว่าการเผชิญหน้าทางการเมืองยังคงดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งการยืนยันแนวโน้มความน่าเชื่อถือที่ระดับมีเสถียรภาพ สะท้อนถึงการรัฐประหารที่เพิ่งเกิดขึ้นและความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยืดเยื้อยาวนานจะไม่บั่นทอนความแข็งแกร่งด้านเครดิตของไทยอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 12 – 18 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ ปัจจัยหลักในการยืนยันอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ บีเอเอ 1 ได้แก่ ความสามารถในการบริหารการคลังของรัฐบาลอย่างไม่บกพร่อง โครงสร้างสถาบันที่เข้มแข็งและไม่ได้รับผลกระทบจากรัฐประหาร ความแข็งแกร่งของภาคต่างประเทศที่ยังคงดำรงอยู่ รวมถึง การยืนยันอันดับความน่าเชื่อถือของพันธบัตรไม่ด้อยสิทธิและไม่มีหลักประกันของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ระดับ บีเอเอ 1 ด้วย นอกจากนี้ ในส่วนของเพดานเครดิตของไทยก็ ยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยเพดานเครดิตหนี้สกุลเงินตราต่างประเทศอยู่ที่ระดับ เอ 2 หรือ พี -1 ขณะที่เพดานเครดิตของเงินฝากธนาคารสกุลเงินตราต่างประเทศอยู่ที่ บีเอเอ 1 หรือ พี-2 เพดานความเสี่ยงของประเทศสำหรับภาระผูกพันที่เป็นสกุลเงินบาทยังคงไม่เปลี่ยนแปลงที่ระดับ เอ 1 ซึ่งเพดานเครดิตดังกล่าวเป็นการจำกัดอันดับความน่าเชื่อถือที่มูดีส์ จะให้แก่ข้อผูกพันสกุลเงินตราต่างประเทศและสกุลเงินบาทของผู้ที่มีถิ่นฐานอยู่ในไทย “ความแข็งแกร่งพื้นฐานด้านเครดิตของไทยยังไม่ได้รับผลกระทบมากนักและยังแข็งแกร่งเพียงพอที่จะรองรับวงจรความกดดันต่อเศรษฐกิจและความไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองที่เกิดขึ้นซ้ำๆ โดยปัจจัยหลักในการยืนยันอันดับความน่าเชื่อถือ มาจากความสามารถในการบริหารการคลังของรัฐบาลอย่างไม่บกพร่อง แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารจัดการหนี้ของรัฐบาลอย่างรอบคอบตลอดช่วงเวลาที่ความวุ่นวายทางการเมืองยังไม่เปลี่ยนแปลง แม้แต่หลังจากรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา สะท้อนจากการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ที่ดัชนีช่วง 2 วัน ตั้งแต่วันที่ 2-3 มิ.ย.ที่ผ่านมา ดัชนีปรับตัวดีขึ้นกว่า 40 จุด เพราะนักลงทุนเกิดความเชื่อมั่น” อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่อาจส่งผลให้มีการปรับแนวโน้มต่อเครดิตเป็นลบหรือปรับลดเครดิต ได้แก่ ความขัดแย้งที่เพิ่มมากขึ้นระหว่างทหารและกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งส่งผลกระทบระยะยาวต่อภาคการท่องเที่ยวและภาคการผลิตอย่างมีนัยสำคัญ, การเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของต้นทุนในการระดมทุนของรัฐบาลที่เป็นผลจากความไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองในประเทศหรือการขาดวินัยทางการคลัง และการถดถอยลงอย่างรุนแรงของดุลการชำระเงินและการลดลงอย่างมีนัยสำคัญของเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของรัฐบาล
ขอขอบคุณแหล่งที่มา : มูดีส์คงเครดิตไทย
Posts related
- ธุรกิจน้ำดื่มใสสะอาด เพราะชีวิตขาดน้ำไม่ได้!
- ธุรกิจเสื้อผ้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจส่งออกสินค้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจร้านดอกไม้กับความรัก ความยินดี และ ความสดชื่นของชีวิต
- ธุรกิจโรงแรมรีสอร์ทที่พัก ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจร้านกาแฟ คุณคิดว่าคนที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ จะมีสักกี่วันที่หยุดดื่ม? น่าลองขายนะ!
- ธุรกิจซักอบรีด รูปแบบไหนดีที่สุด?
- ธุรกิจค้าปลีกสินค้า ดีไม?ดียังไง?
- ธุรกิจร้านเบเกอรี่ รูปแบบไหนดีที่สุด?
- ธุรกิจขายส่งสินค้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- อาชีพเสริมรายได้เสริม เมื่อมีรายได้หลายทางย่อมดีกว่ารายได้ทางเดียว
- 10 อาชีพเสริมที่น่าสนใจ
- อาชีพเสริม ถ้าไม่เริ่มทำตอนนี้แล้วจะรวยตอนไหน?
- ธุรกิจสปา ดีไม?ดียังไง?
- ธุรกิจคาร์แคร์ ดีไม?ดียังไง?
- 6 รูปแบบธุรกิจออนไลน์ที่ใครก็ทำได้ง่ายๆ
- 5 Trendsของยุค2020ที่จะนำไปสู่ธุรกิจชั้นนำที่น่าสนใจ
- แบบทดสอบประเมินตัวคุณเป็นยังไงและควรจะทำธุรกิจแนวไหนดี
- ความแตกต่างระหว่างธุรกิจส่วนตัวกับอาชีพอื่นๆ
- จะเริ่มต้นขายของออนไลน์ได้อย่างไร
- 5 ขั้นตอนการเริ่มต้นเปิดร้านค้าออนไลน์
- เทคนิคในการเลือกธุรกิจแฟรนไชส์ที่น่าสนใจ
- ทำไมต้องธุรกิจแฟรนไชส์ ดียังไง
- 5 เทคนิคควรรู้ก่อนตั้งชื่อธุรกิจออนไลน์
- 5 สิ่งที่ต้องห้ามเมื่่ออยากทำธุรกิจส่วนตัว
- 7 เทคนิคพื้นฐานสร้างธุรกิจSMEให้รอด
- จะเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวยังไงเริ่มจากไหนดี?
- ทำไมจะต้องทำธุรกิจส่วนตัว?
- ความรู้เบื้องต้นความหมายธุรกิจSMEs