รายงานข่าวจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย แจ้งว่า การส่งออกรถยนต์รวมของไทยปีนี้มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นถึงประมาณ6 – 11 % คิดเป็นจำนวนรถยนต์ 1.16- 1.22 ล้านคัน จากปี 56ทำสถิติตัวเลขส่งออกสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 1.09 ล้านคันเป็นผลมาจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนในการลงทุนยังมีต่อต่อเนื่องรวมไปถึงปัจจัยบวกต่างๆ เช่นการปรับสายการผลิตเพื่อการส่งออกมากขึ้นหลังจากส่งมอบรถยนต์คันแรกเสร็จสิ้นประกอบกับ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ทิศทางการอ่อนค่าของค่าเงินบาท และการสามารถเปิดตลาดใหม่บางแห่งเช่น ทวีปอเมริกาเหนือ ได้เพิ่มขึ้นคาดว่าการส่งออกรถยนต์นั่งจะมีโอกาสขยายตัวได้มากกว่ารถยนต์เพื่อการพาณิชย์“ ในช่วง 4เดือนที่ผ่านมา(ม.ค.-เม.ย.) ไทยสามารถทำยอดการส่งออกรถยนต์ได้จำนวน 357,004ล้านคัน ขยายตัวขึ้นจากช่วงเดียวกันในปีก่อน 1.5%และเชื่อว่าการเดินหน้าโครงการลงทุนที่ค้างอยู่ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)และการดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจก็น่าจะส่งผลเชิงบวกต่อความเชื่อมั่นและบรรยากาศการลงทุนขณะที่กลุ่มนักลงทุนทั้งกลุ่มที่มีการลงทุนในประเทศไทยอยู่แล้วและที่มีแผนจะเข้ามาลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ยังมีความเชื่อมั่นต่อการลงทุนในไทย ซึ่งหากสถานการณ์ไม่ได้นำไปสู่ความรุนแรงคาดว่าจะเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นตลาดการส่งออกรถยนต์ในปีนี้ สำหรับ ประเด็นที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดคงจะครอบคลุมไปถึงแนวทางผลักดันการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษของทางการซึ่งอาจมีส่วนสนับสนุนห่วงโซ่การผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์”สำหรับตลาดส่งออกโดยรวมนั้น ออสเตรเลียฟิลิปปินส์และตะวันออกกลาง ยังเป็นตลาดหลักที่ขยายตัวได้ดี ขณะที่ตลาดใหม่บางแห่งเช่น นิวซีแลนด์ สหรัฐฯ กลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี ประกอบด้วย กัมพูชา ลาวเมียนมาร์ เวียดนาม และเปรู เป็นต้น น่าจะเป็นแรงผลักดันการส่งออกรถยนต์ไทยในอนาคตได้อย่างไรก็ตามอาจต้องจับตาดูการส่งออกไปยังอินโดนีเซีย ซึ่งนำเข้ารถยนต์นั่งจากไทยเป็นอันดับ 2ด้วยมูลค่าสูงถึง 1,038 ล้านดอลลาร์ฯ คิดเป็นสัดส่วน 16%ของการส่งออกรถยนต์นั่งทั้งหมด และมาเลเซีย ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 5 ด้วยมูลค่าการส่งออก279 ล้านดอลลาร์ฯ ซึ่งในปี 56 ที่ผ่านมามูลค่าการส่งออกรถยนต์นั่งจากไทยไปยังอินโดนีเซียหดตัวลง32% และมาเลเซีย 37% หลังจากมีการลงทุนผลิตรถยนต์นั่งใน 2ประเทศนี้เพิ่มขึ้น“ญี่ปุ่นได้เข้าไปลงทุนใน 2 ประเทศเพิ่ม โดยปี 55 ลงทุนในอินโดนีเซียสูงถึง96,800 ล้านเยน และมาเลเซีย 6,800 ล้านเยนสำหรับไทยมีการลงทุนทางตรงจากญี่ปุ่นในปี 55 อยู่ที่ 73,900 ล้านเยน นอกจากนี้ ทั้ง 2 ประเทศนี้เพิ่มการนำเข้าจากแหล่งอื่นมากขึ้น โดยเฉพาะจากเกาหลีใต้ส่งผลให้สัดส่วนการส่งออกรถยนต์นั่งของไทยต่อมูลค่าตลาดรวม โดยเฉพาะอินโดนีเซียนั้นลดลงอย่างต่อเนื่องจนลงมาเหลือต่ำกว่า 50% สำหรับประเภทรถยนต์นั่งที่ไทยกำลังสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดไปนั้นส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มรถยนต์นั่งขนาดเล็กความจุน้อยกว่าหรือเท่ากับ 1,500 ซีซีเนื่องจากมีการเพิ่มกำลังการผลิตรถยนต์ในกลุ่มนี้ในอินโดนีเซียและมาเลเซียเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์นั่งแบบแฮทช์แบ็ก 5 ประตูรถยนต์อีโคคาร์ และรถยนต์อเนกประสงค์ราคาประหยัด”
ขอขอบคุณแหล่งที่มา : ส่งออกรถยนต์ไทยโต6-11%
Posts related
- ธุรกิจน้ำดื่มใสสะอาด เพราะชีวิตขาดน้ำไม่ได้!
- ธุรกิจเสื้อผ้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจส่งออกสินค้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจร้านดอกไม้กับความรัก ความยินดี และ ความสดชื่นของชีวิต
- ธุรกิจโรงแรมรีสอร์ทที่พัก ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจร้านกาแฟ คุณคิดว่าคนที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ จะมีสักกี่วันที่หยุดดื่ม? น่าลองขายนะ!
- ธุรกิจซักอบรีด รูปแบบไหนดีที่สุด?
- ธุรกิจค้าปลีกสินค้า ดีไม?ดียังไง?
- ธุรกิจร้านเบเกอรี่ รูปแบบไหนดีที่สุด?
- ธุรกิจขายส่งสินค้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- อาชีพเสริมรายได้เสริม เมื่อมีรายได้หลายทางย่อมดีกว่ารายได้ทางเดียว
- 10 อาชีพเสริมที่น่าสนใจ
- อาชีพเสริม ถ้าไม่เริ่มทำตอนนี้แล้วจะรวยตอนไหน?
- ธุรกิจสปา ดีไม?ดียังไง?
- ธุรกิจคาร์แคร์ ดีไม?ดียังไง?
- 6 รูปแบบธุรกิจออนไลน์ที่ใครก็ทำได้ง่ายๆ
- 5 Trendsของยุค2020ที่จะนำไปสู่ธุรกิจชั้นนำที่น่าสนใจ
- แบบทดสอบประเมินตัวคุณเป็นยังไงและควรจะทำธุรกิจแนวไหนดี
- ความแตกต่างระหว่างธุรกิจส่วนตัวกับอาชีพอื่นๆ
- จะเริ่มต้นขายของออนไลน์ได้อย่างไร
- 5 ขั้นตอนการเริ่มต้นเปิดร้านค้าออนไลน์
- เทคนิคในการเลือกธุรกิจแฟรนไชส์ที่น่าสนใจ
- ทำไมต้องธุรกิจแฟรนไชส์ ดียังไง
- 5 เทคนิคควรรู้ก่อนตั้งชื่อธุรกิจออนไลน์
- 5 สิ่งที่ต้องห้ามเมื่่ออยากทำธุรกิจส่วนตัว
- 7 เทคนิคพื้นฐานสร้างธุรกิจSMEให้รอด
- จะเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวยังไงเริ่มจากไหนดี?
- ทำไมจะต้องทำธุรกิจส่วนตัว?
- ความรู้เบื้องต้นความหมายธุรกิจSMEs