ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์เวลา 9.00น.วันที่13ธ.ค.56 เครือข่าย7องค์กรเอกชนประกอบด้วยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.)สมาคมธนาคารไทยสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยสภาธุรกิจตลาดทุนไทยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)และสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทยร่วมกับสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทยได้กำหนด จัดเวทีกลางครั้งที่1ในการระดมความคิดเห็นเพื่อร่วมกันเสนอทางออให้ประเทศไทยโดยมีนักธุรกิจนักวิชาการ สื่อมวลชน กว่า130คนเข้าร่วมโดยใช้เวลา2ชั่วโมงโดยมีเจ้าหน้าที่สถานทูตประเทศต่างๆและหอการค้าต่างประเทศมาสังเกตการณ์ด้วย เช่นประเทศสหรัฐอเมริกา ,นอร์เว นายวิชัยอัศรัสกร รองประธานกรรมการหอการค้าไทยในฐานะโฆษกคณะทำงาน 7องค์กรภาคเอกชนกล่าวว่าการจัดเวทีครั้งนี้เห็นตรงกันว่าจำเป็นจะต้องปฏิรูปการเมืองโดยเฉพาะ 4เรื่องสำคัญได้แก่1.คอร์รัปชั่น2.เศรษฐกิจ3.ความเป็นธรรม4.กติกาเลือกตั้งแต่ความเห็นในเวทีครั้งนี้เป็นการเสนอทางเลือกมากกว่าการสรุปหาทางออกของปัญหาการเมืองไทยและเป็นองค์กรกลางเพื่อเป็นศูนย์กลางลดความขัดแย้งด้วยการนำเสนอแนวทางโดยจะไม่ชี้นำเพื่อประโยชน์ประเทศเป็นสำคัญซึ่งจะมีการเปิดเวทีดังกล่าว2-3ครั้งในการให้มีทางเลือกจากทุกด้านเพื่อหาข้อสรุปเบื้องต้นภายใน1เดือน ด้านนางปิยะมานเตชะไพบูลย์ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยกล่าวว่า การหารือครั้งแรกยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนแต่มีความเห็นที่ตรงกันว่าทุกภาคส่วนต้องการทางออกที่เป็นประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขซึ่งการแก้ปัญหาอยากให้ทุกฝ่ายไม่ยึดต่อข้อกฎหมายมากเกินไปเพราะการหาทางออกต้องเอาใจเขามาใส่ใจเราโดยวิธีการที่ทุกคนเห็นว่าควรเกิดขึ้นคือ1.การเข้าสู่อำนาจของรัฐบาลต้องมีความโปร่งใส2.ทุกภาคส่วนต้องการให้เกิดการต่อต้านคอรัปชั่นอย่างจริงจังดังนั้นควรมีองค์กรกลางขึ้นมาตรวจสอบเป็นการเฉพาะและ3.อยากเห็นประเทศเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยซึ่งท้ายที่สุดต้องเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง อย่างไรก็ยังเห็นว่าแนวทางการปฏิรูป จะต้องมีสัญญาประชาคม โดยพรรคการเมืองควรต้องมาร่วมกันดำเนินการโดยเฉพาะข้อที่จะไม่ดำเนินการใดๆที่ส่งผลให้เกิดปัญหาข้อขัดแย้งขึ้นมาใหม่ซึ่งหากแนวทางการปฏิรูปประเทศยังไม่แล้วเสร็จและมีการเลือกตั้งรัฐบาลขึ้นมาก่อนรัฐบาลชุดใหม่ควรมีการดำเนินการปฏิรูปประเทศให้แล้วเสร็จภายใต้ระยะเวลาที่กำหนดไว้และเมื่อแก้ไขกฎหมายปฏิรูปแล้วเสร็จ ก็ควรยุบสภาและเปิดการเลือกตั้งใหม่เพื่อให้มีรัฐบาลมาบริหารประเทศตามแนวทางการปฏิรูป
ขอขอบคุณแหล่งที่มา : 7 องค์กรเอกชน แนะพรรคการเมืองลงสัญญาประชาคม
Posts related
- ธุรกิจน้ำดื่มใสสะอาด เพราะชีวิตขาดน้ำไม่ได้!
- ธุรกิจเสื้อผ้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจส่งออกสินค้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจร้านดอกไม้กับความรัก ความยินดี และ ความสดชื่นของชีวิต
- ธุรกิจโรงแรมรีสอร์ทที่พัก ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจร้านกาแฟ คุณคิดว่าคนที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ จะมีสักกี่วันที่หยุดดื่ม? น่าลองขายนะ!
- ธุรกิจซักอบรีด รูปแบบไหนดีที่สุด?
- ธุรกิจค้าปลีกสินค้า ดีไม?ดียังไง?
- ธุรกิจร้านเบเกอรี่ รูปแบบไหนดีที่สุด?
- ธุรกิจขายส่งสินค้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- อาชีพเสริมรายได้เสริม เมื่อมีรายได้หลายทางย่อมดีกว่ารายได้ทางเดียว
- 10 อาชีพเสริมที่น่าสนใจ
- อาชีพเสริม ถ้าไม่เริ่มทำตอนนี้แล้วจะรวยตอนไหน?
- ธุรกิจสปา ดีไม?ดียังไง?
- ธุรกิจคาร์แคร์ ดีไม?ดียังไง?
- 6 รูปแบบธุรกิจออนไลน์ที่ใครก็ทำได้ง่ายๆ
- 5 Trendsของยุค2020ที่จะนำไปสู่ธุรกิจชั้นนำที่น่าสนใจ
- แบบทดสอบประเมินตัวคุณเป็นยังไงและควรจะทำธุรกิจแนวไหนดี
- ความแตกต่างระหว่างธุรกิจส่วนตัวกับอาชีพอื่นๆ
- จะเริ่มต้นขายของออนไลน์ได้อย่างไร
- 5 ขั้นตอนการเริ่มต้นเปิดร้านค้าออนไลน์
- เทคนิคในการเลือกธุรกิจแฟรนไชส์ที่น่าสนใจ
- ทำไมต้องธุรกิจแฟรนไชส์ ดียังไง
- 5 เทคนิคควรรู้ก่อนตั้งชื่อธุรกิจออนไลน์
- 5 สิ่งที่ต้องห้ามเมื่่ออยากทำธุรกิจส่วนตัว
- 7 เทคนิคพื้นฐานสร้างธุรกิจSMEให้รอด
- จะเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวยังไงเริ่มจากไหนดี?
- ทำไมจะต้องทำธุรกิจส่วนตัว?
- ความรู้เบื้องต้นความหมายธุรกิจSMEs
นายประสารไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงกระแสข่าวที่ว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้เข้ามาทาบทามให้ไปดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคประชาธิปปัตย์ ว่าขณะนี้ ยังไม่มีใครเข้ามาทาบทามให้ไปดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยส่วนตัวมองว่าตนเองยังไม่มีทักษะในด้านการเมืองแต่ไม่ว่าใครเป็นรัฐบาลอยากให้ธปท.ช่วยก็ยินดี ซึ่งปัจจุบันปัญหาการเมืองเป็นเรื่องที่ดีหลายฝ่ายช่วยกันหาทางออก “ตามข้อเท็จจริงยังไม่มีใครเข้ามาทาบทามและผมไม่มีทักษะด้านการเมืองเลยอันที่จริงหากมีส่วนไหนที่ธปท.จะช่วยประโยชน์ส่วนร่วมได้ก็ยินดีไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนโดยโจทย์ความขัดแย้งทางการเมืองในช่วงนี้มีความสำคัญกว่าจีดีพีจะขึ้นหรือปรับลงซึ่งความเห็นต่างทางการเมืองอยากจะเห็นทางออก โดยเชื่อว่าวิกฤติทางการเมืองครั้งนี้ยังมีทางออก” สำหรับการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ในวันที่ 17-18 ธ.ค.นี้ เชื่อว่าหากเฟดลดวงเงินในการทำมาตรการคิวอีลงนั้นก็เป็นเพียงการลดเงินที่อัดเข้าสู่ระบบจากเดิมที่รับซื้อพันธบัตรที่เดือนละ85,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ไม่ได้หยุดอัดเงินเข้าสู่ระบบซึ่งไม่ได้มีอะไรที่น่ากลัว แต่ตลาดการเงินอาจปรับตัวบ้าง ที่ไม่น่าจะมีอะไรรุนแรง “มองว่าการประชุมของเฟดในรอบนี้ตลาดการเงินได้เตรียมตัวมากกว่าครั้งก่อน ส่วนรัฐบาลสหรัฐสามารถผ่านกฏหมายงบประมาณได้แล้วเป็นเรื่องที่ดีที่ช่วยลดความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและลดข้อจำกัดด้านการคลังที่เดิมจากเดิมที่เป็นห่วงว่าภาคการคลังจะไม่มีแรงส่งให้เศรษฐกิจเติบโตได้จากการตกลงไม่ได้ด้านงบประมาณ จนนำไปสู่การตัดงบประมาณอัตโนมัติเกิดขึ้น แต่เมื่อสภาได้ผ่านกฎหมายงบประมาณไปได้จะทำให้ปัญหาในส่วนนั้นหมดไป” 
นายครรชิตสิงห์สุวรรณ์รักษาการผู้จัดการธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย(ธอท.)เปิดเผยว่าในสิ้นเดือนธ.ค.นี้ธนาคารประเมินว่าจะมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เหลือ28%หรือกว่า10,000ล้านบาทจากก่อนหน้านี้ที่มีหนี้ถึง43,000ล้านบาทหรือ 44%ซึ่งมากกว่าที่กระทรวงการคลังกำหนดไว้ที่6,000ล้านบาทโดยจากการเร่งแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจังจนทำให้ผู้ฝากเงินมีความมั่นใจกลับมาฝากเงินส่งผลให้มีสภาพคล่องขึ้นมาอยู่ที่19,000ล้านบาทบนฐานเงินฝาก 110,000ล้านบาทและมีพอร์ตสินเชื่อค้าง100,000ล้านบาท”ขณะนี้เรามียอดสินเชื่อใหม่ที่รอการอนุมัติหรือที่ค้างท่ออยู่ 6,000ล้านบาทคาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะอนุมัติได้2,000ล้านบาทและคาดว่าจะมีผลการดำเนินงานพลิกกลับมาเป็นกำไรสุทธิ1,600ล้านบาทรวมทั้งจ่ายเงินโบนัสให้พนักงานได้อย่างน้อย1เดือน”พรัอมกันนี้ได้วางการดำเนินงานในปี 57โดยจะหารายได้จากค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ไม่ได้เน้นในปีนี้รวมทั้งปล่อยสินเชื่อใหม่อีก13%จากปี56และมีสินเชื่อจากโครงการรัฐ12โครงการโดยมี 8โครงการที่ได้รับเงินชดเชยจากรัฐบาลแล้วส่วนเงินฝากตั้งเป้าหมายเติบโตขึ้น15%จากปีนี้ที่110,000ล้านบาทและเปิดสาขาให้ครบ 130 แห่งในเดือนก.พ.57จากปัจจุบันมี110แห่ง 
