shoplri.com ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

shoplri.com ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

Archives for ข่าวการตลาด เศรษฐกิจ

ราคาทองคำ 18 ต.ค. 56 ปรับครั้งที่ 1 ขึ้น 150 บาท

ราคาทองคำปรับครั้งที่ 1 ขึ้น 150 บาท รูปพรรณขายบาทละ 19,800 บาท รับซื้อ 19,025.80 บาท
วันที่ 18 ต.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 09:25 น. เว็บไซต์สมาคมค้าทองคำ ประกาศปรับราคาทองคำในประเทศครั้งที่ 1 โดยเพิ่มขึ้นจากเดิม 150 บาท ทำให้ราคาปัจจุบันอยู่ที่ รูปพรรณขายบาทละ 19,800 บาท รับซื้อ 19,025.80 บาท ทองแท่งขายบาทละ 19,400 บาท รับซื้อ 19,300 บาท
ราคาทองคำและครั้งที่ปรับ ราคาทองคำปรับครั้งที่ 1  ขึ้น 150 บาท รูปพรรณขายบาทละ 19,800 บาท รับซื้อ 19,025.80 บาท ทองแท่งขาย 19,400 บาท รับซื้อ 19,300 บาท เวลา 09:25 น.

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : ราคาทองคำ 18 ต.ค. 56 ปรับครั้งที่ 1 ขึ้น 150 บาท

Posts related

 














เออีซีพลิกแผ่นดินอีสานเดือดธุรกิจอสังหาฯโตก้าวกระโดด


เมื่อคิดถึงภาค “อีสาน” ก่อนหน้านี้ต้องยอมรับว่า ส่วนใหญ่แล้ว มักจะเห็นแต่ภาพความแห้งแล้ง ถนนหนทางทุรกันดาร ประชากรยากจน แต่ช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมานี้ เมื่อสาธารณูปโภคเข้าถึงพร้อม ๆ กับความเจริญในด้านต่าง ๆ ที่ผลักดันให้อีสานดูดีขึ้น โดยวัดได้จากการที่มี “ห้างสรรพสินค้า” เข้าไปเปิดให้บริการ ทั้งแบบค้าปลีก ค้าส่ง ร้านค้าวัสดุก่อสร้าง มี “สายการบินต้นทุนต่ำ” ลงจอด ส่งผลให้การเดินทางไปมาหาสู่กันยิ่งสะดวกสบายขึ้น ล่าสุด เมื่อรัฐบาลกำลังจะพัฒนาโครงสร้างทาง “คมนาคม” ทั้งสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง มอเตอร์เวย์ ถนน 4 เลน ขยายสนามบิน เพื่อรองรับการที่ไทยกำลังก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) และอีกหลายจังหวัดที่มีชื่อเสียงเรื่องกีฬา เช่น บุรีรัมย์ ยิ่งส่งผลให้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ ทั้งในเชิงที่อยู่อาศัย และในเชิงพาณิชย์เติบโตขึ้นมาก ขณะเดียวกันราคาที่ดินก็ถีบตัวสูงขึ้นเกินเท่าตัวแทบทุกพื้นที่ ต้องยอมรับอีกอย่างว่า จังหวัดในภาคอีสานรวม 20 จังหวัด มีความแตกต่างกัน ทั้งด้านขนาดพื้นที่ จํานวนประชากร สภาพทางภูมิศาสตร์ ระยะทางจากกรุงเทพฯ หรือเมืองใหญ่อื่น ๆ รวมทั้งระยะทางในการติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน และสภาพความเป็นเมืองชายแดนหรือในพื้นที่ห่างไกลความเจริญ แต่ส่วนใหญ่ก็มีศักยภาพที่จะเติบโตได้ดีมาก เมื่อเข้าสู่เออีซี ที่จะมีการลงทุนหลั่งไหลมาสู่อีสานมากขึ้น ทั้งการท่องเที่ยว ภาคอุตสาหกรรมการแปรรูปสินค้าเกษตร การขนส่งคมนาคมติดต่อกับประเทศในอินโดจีน ทั้ง สปป.ลาว กัมพูชา เวียดนาม ตลอดไปถึงพื้นที่ตอนใต้ของสาธารณรัฐประชาชนจีน สำหรับรูปแบบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ปัจจุบันก็สอด คล้องกับสภาพพื้นที่แต่ละจังหวัด เช่น เมืองชายแดนริมแม่น้ำโขง จะมีโรงแรม รีสอร์ทจำนวนมาก เช่น อ.เชียงคาน จ.เลย ถ้าเป็นเมืองที่มีมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ มีนักศึกษาจำนวนมาก ก็จะมีหอพัก อพาร์ตเมนต์มาก เช่น ขอนแก่น มหาสารคาม และแน่นอนว่า พื้นที่เศรษฐกิจใจกลางเมืองของจังหวัดใหญ่ มีราคาที่ดินปรับขึ้นสูงขึ้นมากเท่าใด ยิ่งเกิดคอนโดมิเนียมมากขึ้นตามเท่านั้น โดยเฉพาะที่ นครราชสีมา ขอนแก่น และอุดรธานี เมื่อความเจริญทางเศรษฐกิจ และอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเหล่านี้ ต้องแลกกับต้นทุนที่ดินที่ราคาแพงขึ้น เกิดการลงทุน การเก็งกำไร จนเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในอนาคต เพราะไม่สามารถพัฒนาที่อยู่อาศัยในระดับราคาที่สอดคล้องกับกําลังซื้อของประชาชนส่วนใหญ่ในพื้นที่ได้ จนอาจทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยในภาคอีสานโดยรวมต้องชะลอตัวลง ท่ามกลางปัญหาราคาวัสดุก่อสร้างและค่ารับเหมาก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งการขาดแคลนแรงงาน ที่นับวันจะรุนแรงมากขึ้นด้วย โดยจังหวัดที่มีที่อยู่อาศัยหนาแน่นมาก คือ ขอนแก่น นครราชสีมา อุดรธานี ส่วนจังหวัดที่มีโครงการที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง ได้แก่ อุบลราชธานี มหาสารคาม และจังหวัดที่มีโครงการที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย ได้แก่ จังหวัดบุรีรัมย์ นครพนม บึงกาฬ สกลนคร กาฬสินธุ์ สุรินทร์ ร้อยเอ็ด ยโสธร เลย ชัยภูมิ หนองบัวลำภู หนองคาย มุกดาหาร อย่างไรก็ดี ใน 20 จังหวัดภาคอีสานนั้น มีถึง 10 จังหวัดที่ไม่มีคอนโดมิเนียมเลย ส่วนอีก 8 จังหวัดมีเพียง 1-3 โครงการเท่านั้น แต่มี 3 จังหวัดที่มีคอนโดมิเนียมจำนวนมาก จนน่าเป็นห่วงว่าจะเกิดภาวะที่อยู่อาศัยล้นตลาด นั่นคือ นครราชสีมา อุดรธานี และขอนแก่น เหล่านี้คือทิศทางของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ “สัมมนา คีตสิน” ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคาร สงเคราะห์ ถ่ายทอดให้เห็นส่วนหนึ่ง หลังจากที่ได้ลงพื้นที่สำรวจตลาดที่อยู่อาศัยแทบทุกจังหวัด ในภาคอีสานด้วยตัวเอง!!. ณัฐธินี มณีวรรณ

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : เออีซีพลิกแผ่นดินอีสานเดือดธุรกิจอสังหาฯโตก้าวกระโดด

"ทนง-กรณ์" จี้รัฐบาลยกเลิกโครการรับจำนำข้าว

อดีตขุนคลัง”ทนง-กรณ์” จี้รัฐบาลยกเลิกโครการรับจำนำข้าว ชี้สุ่มเสี่ยงอันตรายฐานะการคลัง
นายทนง พิทยะ อดีต รมว.การคลัง เปิดเผยถึงกรณีที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง ออกมาระบุถึงตัวเลขการขาดทุนในโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล จำนวน 425,000 ล้านบาท ว่า  รัฐบาลเดินมาผิดทาง เพราะเป็นการใช้เงินที่ไม่เกิดประโยชน์อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งวงเงินการขาดทุนในปัจจุบัน สามารถนำมาพัฒนาภาคการผลิต ทั้งภาคอุตสาหกรรมและเกษตรให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ เห็นว่ารัฐบาลควรลดบทบาทของโครงการรับจำนำข้าวลง และหันมาให้ใช้มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพภาคการผลิตและภาคเกษตรควบคู่กับการลดต้นทุนซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาความยากจนได้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะเพิ่มเทคโนโลยีภาคการเกษตรให้มากขึ้น เพราะปัจจุบันจำนวนเกษตรกรไทยมีสูงถึง30-40% ของจำนวนประชากรทั้งหมด ซึ่งสูงมากเมื่อเทียบกับภาคการเกษตรของประเทศพัฒนาแล้ว  เช่น  ญี่ปุ่น มีจำนวนเกษตรกรเพียง 5% แต่มีผลผลิตเพียงพอต่อการบริโภคของประชากรทั้งประเทศ "การรับจำนำข้าวที่ราคาสูงกว่าตลาดนั้นถือเป็นเหตุผลที่ผิด และมองว่าโครงการนี้เป็นโครงการที่ไม่มีความจำเป็น ดังนั้นควรลดการดำเนินการลง น่าจะเป็นแนวทางที่ดีและถูกต้องกับประเทศไทยมากที่สุด"  นายกรณ์ จาติกวณิช อดีต รมว.การคลัง กล่าวว่า  รัฐบาลควรยกเลิกโครงการรับจำนำข้าว เพราะจะส่งผลเสียต่อวินัยการทางการเงินการคลังในอนาคต เนื่องจากตัวเลขการขาดทุนในโครงการ 425,000 ล้านบาท  คิดเป็น 4% ของจีดีพี ซึ่งในอนาคตจะส่งผลต่อการจัดทำงบประมาณสมดุลของรัฐบาลในปี 60 ทั้งนี้ มองว่ารัฐบาลควรหาแนวทางอื่นในการช่วยเหลือเกษตรกร  เช่น  การจ่ายเงินชดเชยเงินให้กับเกษตรกรโดยตรง น่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า  และถ้รัฐบาลไม่ดำเนินโครงการรับจำนำข้าวจะมีเงินเพียงพอที่จะลงทุนในโครงการก่อสร้างพื้นฐานที่จำเป็นและสำคัญ โดยไม่ต้องกู้เงิน จำนวน 2 ล้านล้านบาท "รัฐบาลจำเป็นต้องทบทวนการใช้โครงการประชานิยมใหม่ โดยเฉพาะโครงการรับจำนำข้าวที่มีความเสี่ยงในระดับสูง และจะมีผลต่อสถานะการคลัง และการจัดทำงบประมาณสมดุลของรัฐบาลด้วย"

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : "ทนง-กรณ์" จี้รัฐบาลยกเลิกโครการรับจำนำข้าว

Page 1521 of 1552:« First« 1518 1519 1520 1521 1522 1523 1524 »Last »
Home Webmail Password Help File Manager Logout Edit a file