นายวศิน วณิชย์วรนันต์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทยเปิดเผยว่า ความต้องการลงทุนในปีนี้พบว่ามีมูลค่าประมาณ 1.3-1.5 ล้านล้านบาท ใกล้เคียงกับปี 56แต่คาดว่าโครงการมีโอกาสเกิดขึ้นจริงประมาณ 40-60% เพราะในไตรมาส 1/57ที่ผ่านมาจากการสำรวจผู้ประกอบการ 17,000 รายพบว่าผู้ประกอบการรอการตัดสินใจประมาณ 59% จากเดิมอยู่ที่ 27% สัดส่วน 32% อยู่ระหว่างกำลังเตรียมแผนจากเดิมอยู่ที่ 43% และลงทุนทันทีมีสัดส่วนเพียง 10% จากเดิมอยู่ที่ 30% เป็นผลมาจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากปัญหาการเมืองในประเทศทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นทำให้ลดการลงทุนในช่วงนี้ลงสำหรับการลงทุนของผู้ประกอบการรายใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการปรับโครงสร้างทางการเงินลงทุนขยายกิจการและปรับเปลี่ยนเครื่องจักร ส่วนความสามารถในการชำระหนี้ยังอยู่ในเกณฑ์ดีเห็นได้จากสัดส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่2 เท่า จากเดิมอยู่ที่ 3 เท่านอกจากนี้พบว่านักลงทุนยังสนใจลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านของกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซีเพิ่มขึ้นโดยประเทศที่สนใจมากสุดคือพม่ามากสุดสัดส่วน 36% หลังจากที่พม่าเปิดประเทศ ซึ่งธุรกิจส่วนใหญ่จะเป็นระบบโครงสร้างพื้นฐานเกษตร โรงไฟฟ้า อาหาร เครื่องดื่ม และสินเค้าเกษตร รองลงมาคืออินโดนีเซียสัดส่วน15% เวียดนาม 14% ลาว 12% กัมพูชา12% และสิงคโปร์ 4% ส่วนโครงการลงทุนขนาดใหญ่มีมูลค่าโครงการเฉลี่ยประมาณ50,000 ล้านบาท “แม้ว่ายุทธศาสตร์ในประเทศจะมีอยู่ แต่นักลงทุนไม่กล้าลงทุนขอรอดูสถานการณ์การเมืองก่อนโดยยอมรับว่าที่ผ่านมาการเมืองเป็นแรงกกดันสูงให้ชะลอลงทุน ซึ่งเห็นว่าหากสามารถจัดรัฐบาลในอีก 6เดือนข้างหน้า การกระตุ้นการลงทุนก็ยังไม่ได้กลับมาเร็วนัก เพราะต้องใช้เวลาสักระยะดังนั้นในปีนี้ปัจจัยที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจคือการส่งออกเป็นตัวหลัก เป้าหมายไว้ส่งออกจะโตที่5% จีดีพีอยู่ที่ 1.8% “สำหรับยอดคงค้างสินเชื่อขนาดใหญ่ปีนี้จะอยู่ที่ 468,000-477,000ล้านบาทหรือเติบโตประมาณ 5-7% จากปี 56 อยู่ที่ 446,000 ล้านบาทซึ่งในไตรมาส 1/57 สินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 450,000 ล้านบาท ขณะที่สินเชื่อโตประมาณ 1.5% คาดว่าทั้งปีนี้ยังเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ส่วนรายได้จากค่าธรรมเนียมหรือค่าฟีปีนี้จะโตประมาณ 10% จากปีก่อนอยู่ที่ 8% ขณะที่สัดส่วนรายได้ต่อค่าธรรมเนียมจะอยู่ที่47% จากเดิมอยู่ที่ 44.9%

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : การเมืองพ่นพิษนักลงทุนแห่หนีซบเพื่อนบ้าน

Posts related