ต้องยอมรับว่าการที่ประเทศ ไทยมีนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 อย่างชัดเจน รวมทั้งการประกาศโรดแม็พเพื่อเดินหน้าประเทศไทยนั้นได้เรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศกลับคืนมาในระดับหนึ่ง แต่เพื่อตอกย้ำและสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนอีกระลอก ทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้จัดงาน “ไทยแลนด์ โฟกัส 2014” ขึ้นระหว่างวันที่ 27-28 ส.ค. โดยเชิญนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศว่า 200 รายเข้าร่วมงาน เพื่อรับฟังข้อมูลจาก คสช. โดยตรงว่าทิศทางการเดินหน้าประเทศไทยจะเป็นไปในทิศทางใด เดินหน้าตามโรดแม็พ ทั้งนี้ “พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง” ผู้บัญชาการทหารอากาศ ในฐานะหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ระบุว่า   เศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้จะเติบโตได้ 3-3.5% และทำให้ทั้งปีเติบโตได้ที่ 2% จากการดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์หรือโรดแม็พ 3 ขั้นตอน ซึ่งเวลานี้อยู่ในระยะที่ 2 และภายในเดือน ก.ย.นี้จะจัดตั้งสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เพื่อดำเนินการด้านการปฏิรูปอย่างเป็นรูปธรรม และเมื่อเข้าสู่ระยะที่ 3 จะมี สปช. ทั้ง 11 คณะที่เชื่อว่าการจัดทำรัฐธรรมนูญจะแล้วเสร็จในปลายปี 58 คาดว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นอย่างช้าคือต้นปี 59 นอกจากนี้ยืนยันว่าสิ่งที่ คสช.ดำเนินการต่อจากนี้จะเน้นใน 4 ด้าน คือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งทางบก น้ำและอากาศ ทางราง, การลงทุนด้านพลังงานเพื่อรองรับอุตสาหกรรมที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและสังคม, การเปิดโอกาสการลงทุนจากนักลงทุนต่างประเทศโดยใช้การสนับสนุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และสุดท้ายคือการพัฒนาโครงข่ายไอซีทีที่มีบทบาทสำคัญในการรองรับอุตสาหกรรมและการบริการ ขณะเดียวกันจะต่อสู้กับปัญหาคอร์รัปชั่น รวมถึงขจัดปัญหาความล่าช้าในการทำงานของข้าราชการและรัฐวิสาหกิจ โดยกำหนดให้การลงทุนของหน่วยงานต่าง ๆ ต้องมีระยะเวลาที่ชัดเจน และขจัดสิ่งที่เอื้อประโยชน์ให้แก่การคอร์รัปชั่น “ไม่ใช่เพียงในครั้งนี้ที่ คสช.ได้มีโอกาสพบนักลงทุนแต่เมื่อ 1 เดือนที่ผ่านมาได้พบกับนักลงทุนจีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และยุโรปเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและความคิดเห็น ซึ่งได้ยืนยันว่าจะทำทุกอย่าง เพื่อสร้างประชาธิปไตยกลับคืนมา ทำทุกอย่างให้เอื้อกับการลงทุน เช่น การแก้กฎระเบียบการแก้กฎหมาย การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน มั่นใจว่านักลงทุนจะเชื่อมั่น สังเกตได้ว่าความเป็นอยู่การใช้ชีวิตก่อนช่วงเดือนพ.ค.แตกต่างจากปัจจุบันที่มีความสุขเพิ่มขึ้น และสามารถประกอบกิจการได้ดีขึ้น มั่นใจว่าปี 58 จะดีขึ้นไปอีก” เศรษฐกิจไทยโตแน่ “ประสาร ไตรรัตน์วรกุล” ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) บอกว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเติบโตได้ที่ 2% โดยไตรมาส 3 และ 4 โตเฉลี่ยไตรมาสละ 3-4% จากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณตามโรดแม็พ และคาดว่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจอีก 1 ปีข้างหน้า หรือก.ค. 58 ขยายตัวได้ 5% แต่ปีนี้ ถือได้ว่าเศรษฐกิจโตต่ำกว่าศักยภาพที่ควรจะโตได้ 4-4.5% เพราะได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมือง ขณะเดียวกัน เห็นว่ารัฐบาลไม่จำเป็นต้องมีนโยบายประชานิยมออกมากระตุ้นเศรษฐกิจเป็นพิเศษ แต่หากจะมีมาตรการใด ควรเน้นเฉพาะการแก้ปัญหาของผู้ที่เดือดร้อนเฉพาะกลุ่ม เพื่อไม่สร้างปัญหาในระยะยาว แต่ควรให้ความสำคัญต่อการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณให้มีประสิทธิภาพดีกว่า รวมถึงเร่งอนุมัติคำขอส่งเสริมการลงทุนต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นจริง เพื่อให้เกิดการจ้างงาน เงินก็จะกระจายเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ต้อง ติดตามในระยะต่อไป คือ ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจต่างประเทศ ที่ดำเนินนโยบายต่างกัน และอาจส่งผลกระทบต่อเงินทุนเคลื่อนย้ายที่เคลื่อนไหว 2 ทิศทาง ซึ่ง ธปท. ต้องเตรียมพร้อม ด้วยการใช้อัตราแลกเปลี่ยนที่ยืดหยุ่น เงินทุนสำรองที่เพียงพอ และติด ตามข่าวสารต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด ยันนักลงทุนเชื่อมั่น “สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธ์ุ” ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ต.ล.ท.) มองว่า การชี้แจงโรดแม็พของ คสช. ที่ชัดเจนนี้จะทำให้นักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยมากขึ้น รวมถึงเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง และผลักดันให้ผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยในปีนี้จะอยู่ที่ 9% “ในช่วงครึ่งปีหลังกระแสเงินทุนต่างชาติมีแนวโน้มไหลเข้าสู่ตลาดทุนไทยค่อนข้างมาก จากการมีรัฐบาลเข้าบริหารประเทศ ปัจจัยพื้นฐานที่เริ่มแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น โดยเชื่อว่าในปี 58 เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ 5-5.5% และตลาดหุ้นไทยจะสร้างผลตอบแทนได้ 12-13%” ส่วนความกังวลแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐ จะดึงดูดกระแสเงินทุนต่างชาติไหลกลับไปในต่างประเทศนั้น อาจมีผลกระทบบางส่วน แต่ด้วยปริมาณเงินลงทุนจำนวนมาก และความน่าสนใจของตลาดเกิดใหม่ยังคงมีอยู่ รวมถึงความแข็งแกร่งของตลาดหุ้นไทยที่เพิ่มขึ้นเป็นระยะจะทำให้ต่างชาติมุ่งเข้ามาลงทุนได้อย่างต่อเนื่องตามติด ตปท. “เกศรา มัญชุศรี” กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) บอกว่า ดัชนี้หุ้นไทยในปัจจุบันเริ่มอยู่ในระดับสูงพอสมควร ซึ่งหลังจากงานไทยแลนด์ โฟกัส อาจมีกำลังซื้อที่เพิ่มมากขึ้น แต่คงไม่ได้ผลักดันดัชนีโดยรวม เพราะนักลงทุนเน้นให้ความสำคัญกับหุ้นรายตัวเป็นหลัก โดยตลาดหุ้นไทยมีศักยภาพในการแข่งขันเทียบเท่าระดับภูมิภาคจากหมวดหมู่หลักทรัพย์ที่สะท้อนถึงความเป็นไทย ที่มีศักยภาพการเติบโตที่แข็งแกร่ง สำหรับการประกาศใช้กฎอัยการศึกในปัจจุบันมองว่าไม่กระทบต่อการตัดสินใจลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากการตัดสินใจในการลงทุนนั้น จะประเมินที่ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนว่าเป็นอย่างไร ส่วนเรื่องของกฎอัยการศึก จะมีผลกระทบแค่เรื่องของการเดินทางเท่านั้น ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามในระยะต่อไป คือ ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจต่างประเทศ ที่ดำเนินนโยบายต่างกัน และอาจส่งผลกระทบต่อเงินทุนเคลื่อนย้ายที่เคลื่อนไหว 2 ทิศทาง ซึ่ง ธปท. ต้องเตรียมพร้อม ด้วยการใช้อัตราแลกเปลี่ยนที่ยืดหยุ่น เงินทุนสำรองที่เพียงพอ และติด ตามข่าวสารต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด ท้ายที่สุดนี้ งานไทยแลนด์ โฟกัส คงไม่สามารถให้คำตอบได้โดยทันที แต่จากนี้ไปคงต้องติดตามต่อไปว่านักลงทุนจะยังคงมีความเชื่อมั่นกับประเทศไทยมากน้อยเพียงใด!    ทีมเศรษฐกิจ

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : คสช.ฟื้นเชื่อมั่นนักลงทุน ตลท.คาดผลตอบแทนงาม

Posts related