จะเริ่มต้นขายของออนไลน์ได้อย่างไร

พบกับ ความแตกต่างระหว่าง ขายของออนไลน์ กับร้านค้าออนไลน์ และ 5 ขั้นตอนการเริ่มต้นขายของออนไลน์ แบบ Step by Step และสิ่งที่คุณจำเป็นต้องมี ได้ที่นี่

ขายของออนไลน์ แตกต่างจากร้านค้าออนไลน์อย่างไร

ขายของออนไลน์: คือ การที่คุณนำสินค้า ไปประกาศขายตาม Website ที่เป็น Marketplace ที่คนซื้อกับคนขายมาเจอกัน ไม่ว่าจะเป็น Website ในไทย เช่น tarad.com และ weloveshopping.com หรือในต่างประเทศ เช่น amazon.com และ ebay.com

ซึ่งเป็นรูปแบบของ Website สำเร็จรูป ข้อดี คือ สามารถลงประกาศขายได้ทันที มีคนเข้ามาดูสินค้า หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมวันนึงมหาศาล เพราะเป็น Website ขนาดใหญ่ และมีค่าใช้จ่ายน้อย เพราะคุณไม่ต้องเสียเวลาสร้าง Website ขึ้นมาเอง

แต่คุณก็ต้องแลกกับข้อเสีย นั่นคือคุณต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการใช้บริการ Website เหล่านี้ โดยอาจจะอยู่ในรูปของ ส่วนแบ่งเมื่อคุณขายสินค้าได้ ค่าประกาศขายสินค้าต่อชิ้น หรืออาจจะมีค่าบริการทั้งสองอย่างพร้อมกัน เป็นต้น

ร้านค้าออนไลน์: คือ การที่คุณสร้าง Website ขึ้นมาเองเพื่อขายสินค้า แทนที่จะไปลงประกาศขายตาม Marketplace ต่างๆ วิธีนี้อาจจะต้องเสียเวลาในการพัฒนา Website ของคุณเองซักหน่อย แต่ก็คุ้มค่าสำหรับการทำธุรกิจในระยะยาว

ข้อดีของวิธีนี้ คือ คุณไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้กับ Marketplace และคุณก็มีอิสระในการออกแบบ Website ในแบบที่คุณต้องการ ไม่ต้องผูกติดกับรูปแบบที่มีการบังคับจาก Marketplace และเหมาะกับการทำธุรกิจในระยะยาว เพราะอย่างน้อยคุณก็มีการสร้างแบรนด์ของตัวเอง

ส่วนข้อเสียของวิธีนี้ คือ คุณยังไม่รู้ว่าสินค้าของคุณมีอนาคตหรือเปล่า จะขายได้หรือไม่ เงินทุนก็อาจจะจมไปกับการสร้าง Website ขึ้นมา และต้องนำเงินไปใช้กับการโฆษณาประชาสัมพันธ์ เพื่อให้เป็นที่รู้จักอีกด้วย

เพราะฉะนั้น คุณควรจะเลือกรูปแบบธุรกิจให้เหมาะสมกับตัวคุณ ถ้าคุณเพิ่งจะเริ่มต้นทำธุรกิจส่วนตัว ไม่เคยทำธุรกิจออฟไลน์ แบบมีหน้าร้านมาก่อน ตัวเลือกแบบ “ขายของออนไลน์” อาจจะเหมาะกว่า

แต่ถ้าคุณมีหน้าร้านเป็นของตัวเอง ขายสินค้าแบบออฟไลน์มา ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง สินค้าได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ตลาดต้องการ คุณก็เหมาะกับการสร้าง “ร้านค้าออนไลน์” มากกว่า ซึ่งวิธีการสร้าง “ร้านค้าออนไลน์” คร่าวๆ ก็คงอย่างที่ทุกคนทราบ คือ

ต้องมีการเช่า Host จด Domain โดยมากมือใหม่ก็มักจะต้องเลือกใช้บริการ Web Hosting ที่มีปัญหาตามมาน้อย อย่าง Bluehost.com หรือ Hostgator.com ส่วนรายละเอียดอื่นๆ จะมีการพูดถึงในบทความต่อๆ ไป

5 ขั้นตอนการเริ่มต้น ขายของออนไลน์

เมื่อคุณตัดสินใจที่จะเริ่มต้นธุรกิจขายของออนไลน์ คุณก็คงอยากจะรู้ว่า ต้องทำอะไรบ้างถึงจะขายของได้ ควรจะเตรียมตัวอย่างไร สิ่งสำคัญที่ต้องมี คืออะไร และต้องทำอะไรก่อนหลัง ซึ่งคำถามเหล่านี้ จะถูกไขผ่านทาง 5 ขั้นตอนการเริ่มต้นธุรกิจ ดังนี้

1. เลือกสินค้า

“You can spend all the money in the world.
If you’ve got a bad product, it doesn’t matter.”

Harvey Weinstein


“คุณสามารถใช้เงินทั้งหมดบนโลกนี้ แต่ถ้าคุณยังได้สินค้าชั้นเลวอยู่ มันก็ป่วยการที่จะใช้เงินไปเปล่าๆ” เป็นคำพูดของ Harvey Weinstein ผู้กำกับ ชาวอเมริกัน

สิ่งแรกที่คุณต้องทำ คือ คุณต้องเลือกก่อนว่าจะขายอะไร ถ้าคุณยังไม่มีสินค้า หรือยังคิดไม่ออกว่าจะขายอะไรดี ธุรกิจมันก็คงจะเกิดไม่ได้ เพราะธุรกิจเดินได้ด้วยยอดขาย สิ่งที่เราแนะนำสำหรับการขายของออนไลน์ คือ

คุณควรจะเลือกสินค้า ที่คุณมีความรู้ และความสนใจ ในสินค้านั้นๆ เช่น เกี่ยวข้องกับงานอดิเรกของคุณ หรือเกี่ยวข้องกับงานประจำที่คุณทำอยู่ เพราะคุณจะสามารถตอบคำถาม คนซื้อได้ว่า สินค้าแต่ละชนิดที่คุณเลือกมาขาย มันแตกต่างกันอย่างไร ชิ้นนี้ดีกว่า ชิ้นนั้นอย่างไร

หรืออีกวิธีหนึ่งในการเลือกสินค้า คือ การทำ Dropship หรือเลือกสินค้าที่มีคนอยากจะให้คุณเอาไปขายอยู่แล้วทาง Internet และส่งสินค้าจากเจ้าของสินค้าถึงลูกค้าโดยตรง โดยที่คุณไม่ต้องสต็อกสินค้าเอง และไม่ต้องจัดการเรื่องการส่งสินค้า ซึ่งก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ

2. เลือก Marketplace

“Location, location, location.”
William Dillard

“ทำเล ทำเล ทำเล” เป็นคำพูดของ William Dillard นักธุรกิจ ผู้ก่อตั้งห้างสรรพสินค้า Dillard ชาวอเมริกัน

หลังจากที่คุณมีสินค้าแล้ว ต่อไปคุณก็คงต้องเลือกว่าจะไปขายที่ไหนดี มันคงไม่เหมาะถ้าจะขายเครื่องใช้ไฟฟ้าในตลาดสด หรืออาหารสดในย่านที่ขายเสื้อผ้า การขายของออนไลน์ก็เช่นเดียวกัน คุณควรจะเลือก Marketplace ให้เหมาะกับสินค้าที่คุณเลือก

เช่น ถ้าคุณจะขายหูฟัง Marketplace ที่เกี่ยวกับเครื่องเสียง หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าก็คงจะเหมาะกว่า Marketplace ที่ซื้อขายหนังสือมือสอง

อย่างไรก็ตาม บางคนอาจจะมองว่าการเลือก Marketplace ที่เฉพาะทางอาจจะทำให้เสียโอกาสที่จะได้ลูกค้า ที่มาจากสินค้ากลุ่มอื่นๆ เพราะฉะนั้นถ้าเค้าจะเลือกขายสินค้าผ่านทาง ebay หรือ tarad.com ก็คงจะไม่ผิดเช่นกัน

3. เลือกวิธีการรับชำระเงิน

“There is a price to pay for accomplishment.”
Edwin Louis Cole

“ความสำเร็จทั้งปวง มีราคาที่ต้องจ่าย” เป็นคำพูดของ Edwin Louis Cole นักพูด และนักเขียน ชาวอเมริกัน

วิธีการรับชำระเงินเป็นสิ่งที่คุณต้องคำนึงถึงเป็นลำดับต่อไป ส่วนใหญ่แล้วในประเทศไทย ซึ่งยังมีระบบการชำระเงินออนไลน์ที่ไม่ทั่วถึง และยังพัฒนาไม่ถึงขีดสุด การขายของออนไลน์ก็มักจะเลือกใช้วิธีการ โอนเงิน แล้วให้ลูกค้า Fax หรือส่ง email ใบโอนมาให้

ซึ่งเป็นวิธีที่บางคนอาจจะมองว่าช้า มีขั้นตอนหลายอย่าง และทำให้เสียเวลาเป็นอย่างยิ่ง แต่ข้อดีก็คือ ไม่มี หรือเสียค่าธรรมเนียมระหว่างทางน้อย ส่วนวิธีที่ในต่างประเทศ เป็นที่นิยม และบาง Website ในประเทศไทย ก็อนุญาตให้ทำได้ นั่นคือ การจ่ายผ่านบัตรเดบิต เครดิต และจ่ายผ่าน Paypal

ซึ่งจะทำให้คุณได้รับเงินค่าสินค้าทันที และสร้างความเชื่อใจทั้งฝั่งคนซื้อ และคนขาย เพราะตัวกลางเหล่านี้ เปิดโอกาสให้คนซื้อที่ยังไม่ได้รับสินค้า สามารถแจ้งขอเงินคืนได้ แต่ตัวกลางเหล่านี้ก็จะมีการคิดค่าธรรมเนียมประมาณ 3% ของยอดซื้อสินค้า

4. เลือกวิธีการส่งสินค้า

“Fast is fine, but accuracy is everything.”
Wyatt Earp

“ความเร็วก็ดีอยู่หรอก แต่ความถูกต้องแม่นยำหน่ะเป็นทุกสิ่ง” เป็นคำพูดของ Wyatt Earp ตำรวจ ชาวอเมริกัน

สำหรับการ Dropship มันก็คงจะง่ายเลย เพราะคุณไม่ต้องรับผิดชอบเรื่องการส่งสินค้า แต่ถ้าเป็นแบบทั่วๆไป คุณก็คงต้องเลือกว่า จะส่งสินค้าอย่างไร แบบไหนถึงจะทำให้คนซื้อถูกใจ รู้สึกว่ามันง่าย และมองว่าการส่งนั้นเชื่อใจได้ ไปถึงคนซื้อได้จริง

ถ้าคนซื้ออยู่ในประเทศไทย ก็อาจจะง่ายหน่อย ก็ใช้บริการจากไปรษณีย์ไทยได้เลย ไม่ว่าจะเป็นการส่งแบบ EMS ที่วันเดียวถึง หรือแบบพัสดุลงทะเบียนที่มีการรับประกันมูลค่าสินค้า ส่วนถ้าส่งไปต่างประเทศ อาจจะค่อนข้างลำบาก เสียเวลา และเสียค่าใช้จ่ายค่อนข้างมาก

สำหรับบริการที่ถูกที่สุด ถ้าคุณส่งแบบน้อยชิ้น ก็ยังคงเป็นไปรษณีย์ไทยเหมือนเดิม แต่ถ้าคุณมียอดซื้อจากลูกค้ามากๆ การเจรจาต่อรองกับผู้ส่งสินค้ารายอื่นๆ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะว่าคุณจะได้ส่วนลด และทำให้ค่าขนส่งสินค้าต่อชิ้น ถูกกว่าการส่งด้วยไปรษณีย์ไทย

5. เขียนคำโฆษณาประชาสัมพันธ์

“A good advertisement is one which sells the product
without drawing attention to itself.”

David Ogilvy

“โฆษณาที่ดี คือ สิ่งที่ช่วยให้ขายสินค้าได้ โดยตัวโฆษณาไม่ดึงความสนใจไปจากสินค้า” เป็นคำพูดของ David Ogilvy นักธุรกิจ ผู้ก่อตั้ง บริษัท Ogilvy & Mather และได้ชื่อว่าเป็น “The Father of Advertising” หรือบิดาแห่งการโฆษณา ชาวอังกฤษ

หลังจากที่คุณเตรียมตัวใน 4 ข้อแรกเสร็จแล้ว ก็ถึงขั้นตอนสุดท้าย แต่ไม่ท้ายสุด นั่นคือ การเขียนโฆษณาประชาสัมพันธ์ ซึ่งคุณก็ต้องทำให้มันดูน่าสนใจ โดยการเขียนในสิ่งที่คนซื้อจะได้ เมื่อซื้อสินค้าชิ้นนี้กับคุณ

คนซื้อไม่ค่อยอยากรู้ว่า มันทำมาจากอะไร เพราะบอกไปเค้าก็ไม่รู้ว่ามันดียังไง แต่ถ้าคุณบอกในสิ่งที่เค้าจะได้รับ เมื่อใช้สินค้าของคุณ ใช้แล้วชีวิตเค้าจะดีขึ้นอย่างไร ให้คุณค่าอะไรกับชีวิตเค้า และใส่รูปให้ดูสวยงาม

แต่ไม่ควรจะเขียนโฆษณาเกินจริง มันไม่มีประโยชน์อะไร ถ้าคนซื้อเห็นว่าคำโฆษณาของคุณเป็นแค่ คำโกหก เค้าก็จะไม่ซื้อสินค้าของคุณอีก และพูดถึงสินค้าคุณในทางที่จะทำให้คุณเสียหาย ต่อคนอื่นอีก ฉะนั้น จงพูดความจริง แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอสำหรับการ ขายของออนไลน์ แล้ว

Posts related