นายประเวช องอาจสิทธิกุล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ พ.ร.บ.รถภาคบังคับ ที่ คปภ.ได้ให้สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ) ทำการศึกษาวิจัยนั้น พบว่ายังมีช่องว่างที่ต้องปรับปรุง เช่นความคุ้มครองในส่วนรถจักรยานยนต์ที่ยังไม่ตรงกับตัวเลขที่แท้จริงเนื่องจากปัจจุบันรถจักรยานยนต์มีอยู่ในระบบ 18-19 ล้านคัน แต่ตัวเลขที่ต่อพ.ร.บ.และจดทะเบียนมีจำนวนน้อยกว่าซึ่งหากเกิดอุบัติเหตุอาจทำให้ประชาชนไม่สามารถได้รับความคุ้มครองตามที่กฎหมายกำหนดไว้จึงเป็นหน้าที่ของภาครัฐที่ต้องติดตามอย่างจริงจัง “ปัจจุบันสัดส่วนรถไม่ทำประกันภัยเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญโดยเฉพาะกลุ่มรถจักยานยนต์ ซึ่งจากสถิติพบว่ามีค่าเฉลี่ยในการทำประกันภัยเพียง 3ปีแรกของรถจดทะเบียนเท่านั้น โดยเตรียมเสนอภาครัฐหามาตรการให้รถเข้าสู่ระบบทั้งหมดทั้งการเพิ่มบทลงโทษแก่ผู้ไม่ทำประกันภัยจะเป็นข้อเสนอหนึ่งที่ควรต้องมีการทบทวนเพราะหากหลีกเลี่ยงไม่ทำประกันภัย นอกจากจะเป็นการทำผิดกฎหมายแล้วยังเป็นการสร้างปัญหาต่อสาธารณะและประชาชนที่ร่วมใช้รถใช้ถนนเพราะรถที่ไม่ทำประกันภัยเมื่อเกิดอุบัติเหตุจะได้รับเพียงค่าเสียหายเบื้องต้นจากกองทุนทดแทนผู้ประสบภัยเท่านั้น” ขณะเดียวกันยังคงต้องปรับปรุงเกี่ยวกับการควบคุมอัตราเบี้ยประกันภัยรถภาคบังคับ จนทำให้กลไกด้านราคามีการบิดเบือนโดยเฉพาะรถจักรยานยนต์ที่มีการเกิดอุบัติเหตุสูง มีเบี้ยประกันภัยต่ำที่จ่ายประมาณปีละ300 บาทเกินกว่าอัตราการจ่ายค่าสินไหมทดแทน ทำให้การกำหนดเบี้ยประกันภัยไม่สะท้อนความเสี่ยงภัยที่แท้จริงขณะที่ อัตราเบี้ยประกันภัยรถยนต์ มีอยู่ในระบบ 6-7 ล้านคัน มีเบี้ยประกันภัยที่จ่ายประมาณปีละ600 บาท ส่งผลให้เกิดการเกื้อหนุนในระบบตลาดภาพรวม ทำให้คปภ.และทีดีอาร์ไอต้องมีการพิจารณาอย่างรอบครอบอีกครั้ง โดยคาดว่าผลงานวิจัยฉบับสมบูรณ์จะแล้วเสร็จในเดือนม.ค.57 อย่างไรก็ตาม คปภ.ไม่ได้มีมุมมองแค่ภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังได้เตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(เออีซี) ในปี 58 โดยเฉพาะการขับรถยนต์ผ่านข้ามพรหมแดนที่ต้องมีการหารือเกี่ยวกับข้อตกลงของการทำประกันภัยของแต่ละประเทศให้มีความครอบคลุมไปในทิศทางเดียวกันเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้นักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติเดินทางข้ามพรหมแดนระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นอีกด้วย

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : จี้จยย.จดเบียนพ.ร.บ.บังคับ

Posts related