เป็นไปตามคาดครับ เปิดตัวได้เพียงวันเดียว กลุ่ม “ปฏิรูปพลังงานเพื่อความยั่งยืน” ที่ดร.ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ และผู้มีประสบ การณ์ในแวดวงพลังงานหรือการพัฒนาทั้งในภาครัฐและเอกชนร่วมกันจัดตั้งขึ้น ก็ถูกผู้ที่ตั้งตัวเองว่าเป็นผู้ที่มีธรรมาภิบาลสูง ตั้งข้อสงสัยตรวจสอบเสียแล้ว ท่านผู้มีธรรมาภิบาลสูงท่านนั้นได้ โพสต์ลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า “เห็นรายชื่อคนในกลุ่มก็ไม่น่าสบายใจแล้ว เพราะหลายคนเป็นบุคคลในแวดวงพลังงาน ข้าราชการและนักวิชาการเคยเป็นกรรมการบริษัทพลังงาน รับผลประโยชน์กันมาคนละเป็นล้านกลับรวมตัวกันมาบอกว่าจะปฏิรูปพลังงาน” ท่านยังเรียกร้องให้สมาชิกกลุ่มทุกท่านแสดงความจริงใจและความโปร่งใสด้วยการเปิดเผยว่าเคยได้รับเงินหรือผลประโยชน์อื่นใดจากธุรกิจพลังงานหรือไม่ ทั้งในอดีต และปัจจุบัน และตั้งคำถามว่า เนื่องจากหลายท่านเป็นผู้มีอำนาจทางราชการในอดีต เหตุใดจึงไม่แก้ไขในขณะที่มีอำนาจแล้วเหตุใดจึงจะอยากมาปฏิรูปพลังงานในขณะนี้ เช่นเคยครับ อ่านเฟซบุ๊กของท่านแล้วก็อดเคลิบเคลิ้มตามไปกับธรรมาภิบาลอันสูงส่งของท่านเสียมิได้ แต่ถ้ามองในอีกมุมหนึ่ง ผมคิดว่าเราจะเห็นความคับแคบทางจิตใจของคน ๆ หนึ่งที่แสดงออกมาภายใต้เสื้อคลุมของคำว่าธรรมาภิบาลอย่างชัดเจน ผมอยากจะบอกว่าการรวมตัวของกลุ่มปฏิรูป พลังงานฯนั้นเป็นการรวมตัวของผู้มีความรู้ ประสบการณ์ คุณวุฒิ และความคิดเห็นที่สอดคล้องต้องกันในทิศทางของการแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศ จึงมาระดมสมองกันเพื่อเสนอแนวทางปฏิรูปพลังงานเพื่อความยั่งยืน ให้เป็นทางเลือกหนึ่งของประเทศเป็นการรวมกลุ่มเพื่อเสนอแนวความคิดซึ่งเป็นสิทธิของคนทุกกลุ่มในสังคมที่พึงจะเสนอได้โดยไม่ควรถูกกีดกันว่าเป็นใคร หรือเคยทำงานอะไรมาก่อน ถ้าไปยึดหลักที่ท่านตั้งข้อสงสัยว่า คนในกลุ่มเคยทำงานในแวดวงพลังงานมาก่อนหรือมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับธุรกิจพลังงาน แล้วไม่สมควรมาทำเรื่องปฏิรูปพลังงาน ก็หมายความว่าต่อไปนี้ อดีตผู้พิพากษาก็ไม่ควรมาทำเรื่องปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม อดีตข้าราชการก็ไม่ควรมาทำเรื่องปฏิรูประบบราชการ ธรรมาภิบาลที่ท่านเรียกหานั้นมันไม่ได้แสดงออกด้วยการเปิดเผยว่าใครเคยได้รับเงินเดือนหรือผลประโยชน์อื่นใดจากธุรกิจพลังงานเท่านั้นหรอกครับ (เรื่องนี้ความจริงก็เป็นการรับอย่างถูกต้อง และก็เปิดเผยกันอยู่แล้ว) แต่มันแสดงออกที่แนวความคิดของเขาว่าเขาเสนอแนวความคิด ที่มีเหตุผลและเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติในระยะยาวหรือไม่ มีวาระซ่อนเร้นเพื่อผลประโยชน์ของนายทุน ผลประโยชน์ส่วนตัวหรือวาระแฝงเร้นทางการเมืองหรือไม่ ส่วนที่ถามว่าตอนมีอำนาจทำไมไม่ทำ กลับอยากมาทำตอนนี้ คำถามนี้ถ้าไม่แกล้งโง่ก็แสดงว่าไร้เดียงสาสุด ๆ ผมว่าลองไปถามคุณสุเทพ คุณอภิสิทธิ์ ดูดีไหม ว่าตอนเป็นนายกฯ รองนายกฯ อำนาจล้นฟ้าทำไมไม่รีบทำปฏิรูปการเมือง แต่กลับมาเร่งรัดเอาตอนนี้ ความจริงแล้วสมาชิกกลุ่มหลายท่านได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาหรือเสนอแนะแนวทางแก้ไขไปเยอะมากแล้วตั้งแต่ยังมีตำแหน่งหน้าที่อยู่ อย่างเช่น การล้างหนี้กองทุนน้ำมันฯการผลักดันร่าง พ.ร.บ.การประกอบกิจการพลังงาน การแยกท่อก๊าซออกจาก ปตท. ฯลฯแต่เนื่องด้วยข้อจำกัดในเรื่องเวลา และสถานการณ์ในขณะนั้นประกอบกับปัญหายังไม่รุนแรง จึงยังไม่สามารถทำทุกอย่างได้ ท้ายที่สุดนี้ ผมอยากแนะนำท่านผู้มีธรรมาภิบาลสูงว่าถ้าท่านมีความบริสุทธิ์ใจ อยากจะวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างสร้างสรรค์ ลองมาว่ากันที่เนื้อหาดีกว่าไหมครับบอกมาเลยว่า ข้อเสนอแนวทางของกลุ่มนี้ดีหรือไม่ดีอย่างไร มีจุดอ่อนจุดแข็งอย่างไร ยกเหตุผลมาว่ากันมาหักล้างกัน อย่าไปยกเรื่องธรรมาภิบาล ผลประโยชน์ทับซ้อนมาดิสเครดิตอย่างที่ชอบทำกันมาโดยตลอดเลย มันจะเข้าข่ายผูกขาดความดีหรือผูกขาดความรักชาติไว้แต่เพียงกลุ่มเดียวนะครับ!!!.

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : นักปฏิรูปผู้ผูกขาดความรักชาติ – พลังงานรอบทิศ

Posts related