นายอัทธ์ พิศาลวานิช  ผู้ อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้มีนักธุรกิจไทยในต่างประเทศต้องการให้รัฐบาลช่วยตั้งศูนย์จำหน่าย สินค้าไทยในแต่ละประเทศ เนื่องจากผู้บริโภคในหลายตลาดสนใจที่จะซื้อสินค้าไทยทั้งอาหารและเครื่อง ดื่ม, สินค้าเกษตรแปรรูป, งานฝีมือและเครื่องนุ่งห่ม เนื่องจากมีคุณภาพและมีความสวยงาม ดังนั้นรัฐบาลควรส่งเสริมและอำนวยความสะดวกแก่เอกชนเข้าไปเช่าอาคารตามย่าน การค้าของประเทศต่างๆ หรือโครงการไทยแลนด์ เทรดดิ้ง พล่าซ่า เพื่อนำสินค้าของผู้ประกอบการโอทอปและเอสเอ็มอีไปทำตลาด ทั้งนี้เชื่อว่าหากผลักดันโครงการไทยแลนด์ เทรดดิ้ง พล่าซ่าในตลาดสำคัญได้สำเร็จ โดยนำร่องในกลุ่มประเทศอาเซียนเพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 58 รวมถึงจัดศูนย์ตามมณฑลต่างๆในประเทศจีน และอินเดีย เป็นต้น ก็จะช่วยเพิ่มมูลค่าการส่งออกภาพรวมของไทยได้ในระดับ 1 % แน่นอน เช่น  เป้าส่งออกในปี 57 คาดว่า ขยายตัว 5.48% ก็จะเพิ่มเป็น 6.48% สำหรับแนวทางการบริหารรัฐบาลมีหน้าที่แค่ไปเจรจาและความอำนวยสะดวกการเข้าไปตั้งศูนย์จำหน่วยในประเทศต่างๆ ส่วนการบริหารและการจ่ายค่าดำเนินงานเป็นหน้าที่เอกชน โดยสินค้าเป้าหมายจะเป็นสินค้าจากกลุ่มโอทอปและเอสเอ็มอีจาก 77 จังหวัดทั่วประเทศมาวางจำหน่ายเพื่อให้ลูกค้าในประเทศนั้นๆ สามารถเลือกดูหากถูกใจก็สามารถสั่งล็อตใหญ่ๆได้ ซึ่งจะเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยให้ขยายตลาดอีกช่องทางหนึ่งส่วนการลงทุนเอกชนไทยอาจลงทุน 100% หรืออาจร่วมทุนกับประเทศนั้นๆ เพื่อสร้างความสะดวกในการทำตลาดสินค้า นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ   กล่าวว่า  การค้าระหว่างไทยกับพม่าในช่วง 9 เดือนแรก(ม.ค.-ก.ย.)ของปีนี้ การส่งออกขยายตัวดีกว่า 22% คิดเป็นมูลค่ากว่า 2,777 ล้านเหรียญสหรัฐฯ  นำเข้าขยายตัว 12% มีมูลค่า 2,912  ล้านเหรียญสหรัฐฯ   และทั้งปีคาดว่าจะขยายตัวได้ตามเป้าหมาย 25 % ซึ่งในปี 57 ทูตพาณิชย์ได้ประเมินในเบื้องต้นไว้ว่าจะขยายตัวราว 30%  โดยยังไม่รวมการค้าชายแดนไทยกับพม่าที่จะสูงกว่าการค้าปกติ 3 – 4 เท่า หรือราว 10,000 –12,400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : นักวิชาการแนะตั้งตั้งศูนย์ไทยแลนด์ ฯขายสินค้าโอทอป-เอสเอ็มอี

Posts related