7 สถาบันเอกชนจี้ทุกฝ่ายเจรจาจบปัญหาหยุดใช้ความรุนแรงชี้ผลกระทบฉุดเศรษฐกิจดิ่งเหวรุนแรงกว่าน้ำท่วมปี 54 หวั่นสายตาโลกมองไทยเป็นรัฐล้มเหลว เลิกเข้ามาลงทุน ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากเกิดเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมือง มีความรุนแรงขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. ทางภาคเอกชน 7 สถาบัน คือ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการ ค้าแห่งประเทศไทย และหอการค้าไทย, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.), สมาคมธนาคารไทย ร่วมกับสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย (สทท.), สภาธุรกิจตลาดทุนไทย, ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.), สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย ได้มีความกังวลต่อสถานการณ์ที่มีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงได้นัดประชุมหารือร่วมกันเพื่อแสดงจุดยืนของภาคเอกชน วอนหันหน้าเจรจาเร่งยุติปัญหา นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธาน กกร. และประธานสภาหอการค้าฯ เปิดเผยภายหลังการประชุมหารือร่วมกันของภาคเอกชนว่า ภาคเอกชน 7 สถาบันได้มีข้อสรุปร่วมกันว่าเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยุติความขัดแย้งและการกระทำที่นำไปสู่เหตุการณ์ร้ายแรง ซึ่งจะยิ่งสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งยังกระทบต่อความน่าเชื่อถือประเทศ ไทยในสังคมโลกและความเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สิน โดยขอให้แก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยการเจรจา ห้ามใช้ความรุนแรง ซึ่งจะทำให้เกิดความสูญเสีย หากยังมีการชุมนุมลากยาวต่อไปยิ่งส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อเศรษฐกิจไทย และจะทำให้ไทยถูกจัดเป็น “รัฐที่ล้มเหลว” ทั้งนี้ภาคเอกชนเห็นว่าหนทางที่จะนำไปสู่สันติคือ การทำตามกติกา โดยหาทางออกในวิถีประชาธิปไตยเพื่อให้สถานการณ์บ้านเมืองเป็นไปในลักษณะเดิม ภายหลังจากการเลือกตั้งซึ่งไม่ได้เสนอให้รัฐบาลยุบสภา แต่หมายความว่า หากจะมีการเลือกตั้งใหม่ ต้องให้มีการเจรจาระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้องกับทุกฝ่ายเพื่อให้ได้ข้อยุติเบื้องต้น ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งให้มีผู้แทนองค์กรเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย โดยภาคเอกชนพร้อมที่จะร่วมกันเพื่อหาทางออกให้ประเทศ โดยยึดหลักความถูกต้อง ท่องเที่ยวสูญ 2.5 หมื่นล้าน นางปิยะมาน เตชะไพบูลย์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ส.ท.ท.) กล่าวว่า ตัวเลขนักท่องเที่ยวเดือน พ.ย. 56 เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน พบว่าจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 11%แต่จากสถานการณ์ความรุนแรงในขณะนี้ส่งผลให้ 33 ประเทศได้ประกาศเตือนเดินทางมาท่องเที่ยวในไทยแล้วในระดับ 2 หากเตือนถึงระดับ 5 คาดว่า ในช่วงเดือน ธ.ค. ซึ่งเป็นฤดูช่วงท่องเที่ยว (ไฮซีซั่น) นี้นักท่องเที่ยวจะลดลง 8-10% หรือคิดเป็นนักท่องเที่ยวหายไป 500,000 คน สูญรายได้ 25,000 ล้านบาท ผลกระทบม็อบแรงกว่าน้ำท่วม นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า สถานการณ์ทางการเมืองในครั้งนี้ ส่งผลร้ายแรงต่อความเชื่อมั่นสูงกว่าเหตุการณ์น้ำท่วมในปี 54 เนื่องจากเป็นผลมาจากโครงสร้างทางสังคม การเมืองที่มีปัญหา ซึ่งจะกระทบต่อการตัดสินใจมาลงทุน ในบ้านเมืองที่กฎระเบียบเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ตอนนี้นักลงทุนทั้งในประเทศ และต่างประเทศ เริ่มวิตกกังวล ชะลอการลงทุน และย้ายฐานการลงทุนไปประเทศอื่นในภูมิภาคบ้างแล้ว และในระยะยาวความน่าสนใจในการลงทุนของไทย จากปัจจุบันที่อยู่ที่ 3 ของภูมิภาค รองจากประเทศอินโดนีเชีย และเวียดนาม อาจตกลงไปอีก หรืออาจจะแพ้พม่าเลยก็ได้ จีดีพีดิ่งเหวโตได้แค่ 2% นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า ขณะนี้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศลดลงมาอยู่ในระดับที่ต่ำมาก เห็นได้จากแรงขายใน ตลท. ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติขายสุทธิแล้ว 17,000 ล้านบาท เดือน พ.ย. นักลงทุนเทขายไป 50,000 ล้านบาท ส่งผลให้ทั้งปีนี้ยอดขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติอยู่ที่ 150,000 ล้านบาทแล้ว และถ้าเหตุการณ์ ยังยืดเยื้อต่อเนื่อง การขายของนักลงทุนต่างชาติจะยังไม่จบ เพราะนักลงทุนมีทางเลือกเป็นจำนวนมาก ซึ่งตลาดหุ้น เป็นหัวใจหนึ่งของภาคการเงินในประเทศ จะทำให้กระทบต่อความเสียหายของเศรษฐกิจ จากเดิมที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ปีนี้จะขยายตัวที่ 3% อาจทำได้แค่ 2% กว่า ๆ และปีหน้าจากเดิมคาดว่า ขยายตัว 4-5% แต่ถ้าไม่รีบจบปัญหา จะขยายตัวได้แค่ 3% ก็ไม่รู้จะถึงหรือไม่ เงินหุ้นไหลออก 4.5 หมื่นล้าน นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลท. กล่าวว่า หากประเมินผลกระทบเงินไหลออกตั้งวันที่ 30 ต.ค. จนถึงปัจจุบันซึ่งมีการชุมนุมเกิดขึ้น พบว่ามีเงินไหลออกจากตลาดหลักทรัพย์แล้วกว่า 45,000 ล้านบาท ซึ่งหากยังมีความรุนแรงมากขึ้นสถานการณ์เงินไหลออกดังกล่าวก็จะยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ถึงเวลาต้องยอมรับความจริงกันเสียทีว่า วิกฤติการทางการเมืองที่เคยเกิดขึ้นอย่างรุนแรงมาในอดีต ต่างเป็นบทเรียนราคาแพงให้กับเศรษฐกิจในภาพรวม และกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชน ที่ยังต้องอาศัยรายได้จากภาคธุรกิจ บริการ ท่องเที่ยว การค้า และการลงทุน โดยเฉพาะจากต่างประเทศ ที่ต้องมีความเชื่อมั่นในการหอบเงินเข้ามาลงในประเทศไทย. จิตวดี เพ็งมาก
ขอขอบคุณแหล่งที่มา : เอกชนออกโรงจี้ยุติความรุนแรงหวั่นฉุดเศรษฐกิจไทยดิ่งเหวยาว
Posts related
- ธุรกิจน้ำดื่มใสสะอาด เพราะชีวิตขาดน้ำไม่ได้!
- ธุรกิจเสื้อผ้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจส่งออกสินค้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจร้านดอกไม้กับความรัก ความยินดี และ ความสดชื่นของชีวิต
- ธุรกิจโรงแรมรีสอร์ทที่พัก ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- ธุรกิจร้านกาแฟ คุณคิดว่าคนที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ จะมีสักกี่วันที่หยุดดื่ม? น่าลองขายนะ!
- ธุรกิจซักอบรีด รูปแบบไหนดีที่สุด?
- ธุรกิจค้าปลีกสินค้า ดีไม?ดียังไง?
- ธุรกิจร้านเบเกอรี่ รูปแบบไหนดีที่สุด?
- ธุรกิจขายส่งสินค้า ดีไม?ดียังไง? ปัจจุบันมีกี่รูปแบบ?
- อาชีพเสริมรายได้เสริม เมื่อมีรายได้หลายทางย่อมดีกว่ารายได้ทางเดียว
- 10 อาชีพเสริมที่น่าสนใจ
- อาชีพเสริม ถ้าไม่เริ่มทำตอนนี้แล้วจะรวยตอนไหน?
- ธุรกิจสปา ดีไม?ดียังไง?
- ธุรกิจคาร์แคร์ ดีไม?ดียังไง?
- 6 รูปแบบธุรกิจออนไลน์ที่ใครก็ทำได้ง่ายๆ
- 5 Trendsของยุค2020ที่จะนำไปสู่ธุรกิจชั้นนำที่น่าสนใจ
- แบบทดสอบประเมินตัวคุณเป็นยังไงและควรจะทำธุรกิจแนวไหนดี
- ความแตกต่างระหว่างธุรกิจส่วนตัวกับอาชีพอื่นๆ
- จะเริ่มต้นขายของออนไลน์ได้อย่างไร
- 5 ขั้นตอนการเริ่มต้นเปิดร้านค้าออนไลน์
- เทคนิคในการเลือกธุรกิจแฟรนไชส์ที่น่าสนใจ
- ทำไมต้องธุรกิจแฟรนไชส์ ดียังไง
- 5 เทคนิคควรรู้ก่อนตั้งชื่อธุรกิจออนไลน์
- 5 สิ่งที่ต้องห้ามเมื่่ออยากทำธุรกิจส่วนตัว
- 7 เทคนิคพื้นฐานสร้างธุรกิจSMEให้รอด
- จะเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวยังไงเริ่มจากไหนดี?
- ทำไมจะต้องทำธุรกิจส่วนตัว?
- ความรู้เบื้องต้นความหมายธุรกิจSMEs