นายสมเกียรติอนุราษฎร์รองประธานหอการค้าไทย เปิดเผยว่า 7องค์กรเอกชนต้องการให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เร่งหามาตรการในการป้องกันการเรียกเงินใต้โต๊ะของหน่วยงานต่าง ๆ ตามโครงการลงทุน เพื่อสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเนื่องจากที่ผ่านมาพบว่าหลาย ๆ โครงการเรียกเงินใต้โต๊ะกับภาคเอกชน 10-50% ของมูลค่าโครงการ ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการปรับตัวสูงขึ้น ที่สำคัญผู้ประกอบการที่มีเงินทุนน้อย ไม่สามารถเข้าไปแข่งขันในการประมูลงานจากภาครัฐได้“เรื่องการแก้ปัญหาคอร์รัปชันนั้น เป็นเรื่องใหญ่และเป็นเรื่องด่วนที่ 7องค์กรเอกชนให้ความสำคัญมาก ซึ่งนอกจะหามาตรการป้องกันแล้ว ก็ต้องมีการแก้กฎหมายในการลงโทษ โดยไม่ควรหมดอายุความในการดำเนินคดี รวมถึงการแก้ให้ตัดสินคดีแก่ผู้กระทำความผิดให้ได้ภายใน 1 ปี เพราะหากจัดการตรงนี้ได้ก็จะทำให้ภาพลักษณ์ของไทยดีขึ้นมาก ในสายตาของต่างชาติ โดยเฉพาะในด้านการค้าการลงทุนเบื้องต้นคาดว่า คสช. จะเชิญ 7 องค์กรเอกชนเข้าพบในปลายสัปดาห์นี้หรือสัปดาห์หน้า”นอกจากนี้ ต้องการให้คสช.พิจารณาเร่งจัดตั้งองค์กรเอกชนที่มีความสมบูรณ์ และเป็นตัวแทนของผู้ประกอบการทั่วประเทศ โดยเป็นการออก พ.ร.บ. มารองรับ เพื่อยกฐานะให้องค์กรเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ สามารถเป็นตัวแทนของภาคธุรกิจ ในการนำผู้ประกอบการไปเจรจาการค้าการลงทุน กับหน่วยงานภาครัฐ และองค์กรเอกชนในต่างประเทศเ หมือนกับสมาพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่นหรือ เคดันเรน ของญี่ปุ่น เนื่องจากปัจจุบันไทยมีองค์กรเอกชนจำนวนมาก ทำให้แนวทางการช่วยเหลือผู้ประกอบการในภาพรวมได้ลำบาก“แม้ว่าในปัจจุบันภาคเอกชน จะมีองค์กรอย่างคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) แล้วก็ตาม และก็เป็นที่ยอมรับของหลาย ๆ ในการเสนอหรือแนะนำนโยบายแก่ภาครัฐ แต่ก็ยังไม่มี พ.ร.บ.รับรอง รวมถึงในปัจจุบันยังมีสมาคมหรือสภาอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการทำธุรกิจจำนวนมากไม่ได้อยู่ในกกร.”สำหรับการชี้แจงแก่นักลงทุนต่างชาตินั้น พบว่าที่ผ่านมานักลงทุนจากญี่ปุ่น และจีนมีความเข้าใจในสถานการณ์ทางการเมืองของไทยเป็นอย่างดี และนักลงทุนทั้ง 2 ประเทศ ก็ประกาศพร้อมที่จะขยายการลงทุนตามแผนเดิม ที่เคยกำหนดไว้ก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนดังกล่าวต้องการให้ไทยมีความชัดเจนเรื่องของสถานการณ์ทางการเมือง และกฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อจะสามารถวางแผนการลงทุนใหม่ ๆ ในอนาคตได้ง่ายขึ้น ส่วนนักลงทุนประเทศอื่น ๆ ก็ต้องทะยอยในการสร้างความเข้าใจนายสมเกียรติ กล่าวว่า ขณะนี้ 7 องค์กรเอกชนได้ประสานงานกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษาคสช.ด้านต่างประเทศมากขึ้น ในการสร้างความเชื่อมั่นประเทศไทย ต่อสายตานักลงทุนต่างชาติ ซึ่งนายสมคิด ระบุว่าในช่วงนี้ เป็นโอกาสดีที่ภาคเอกชนจะเร่งเสนอแนวทางขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพราะเป็นองค์กรที่มีความน่าเชื่อถือและที่สำคัญ คสช.ก็ให้ความสำคัญด้านเศรษฐกิจอย่างมากนายกลินทร์ สารสิน กรรมการเลขาธิการ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า 7 องค์กรภาคเอกชน ได้สรุป แนวทางขับเคลื่อนเศรษฐกิจระยะเร่งด่วนภายใน 1-2 เดือน และแนวทางระยะยาว โดยแนวทางเร่งด่วนเช่น การฟื้นฟูความเชื่อมั่นต่างประเทศ ซึ่งเอกชนได้เชิญนักลงทุนที่อยู่ในไทยมาชี้แจงถึงความปลอดภัยการลงทุนในประเทศ โดยจะใช้เวทีประชุมหอการค้าต่างประเทศในไทย, การลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความปรองดองจะผลักดันการทำงานร่วมกับหอการค้าทั่วประเทศ ให้เข้าไปจัดทำโครงการที่มีส่วนร่วม และเกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาสังคม และ การขจัดปัญหาคอร์รัปชั่น ส่วนแนวทางระยะยาว คือการวางรากฐานให้ประเทศ สามารถแข่งขันได้ในระยะยาว เช่นการปรับแก้การขอใบอนุญาตต่าง ๆ การวางผังเมือง และการแก้ไขกฎระเบียบด้านการค้าการลงทุนให้ดำเนินการทำธุรกิจได้ง่ายขึ้น ซึ่งทั้งหมดจะดำเนินการภายใต้แผนปฎิรูปเศรษฐกิจ7 ข้อ คือ 1.การเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน 2 แนวทางการลงทุนภาครัฐและเอกชน 3 การศึกษาและนวัตกรรม 4 มาตรการทางสังคมเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ 5 แนวทางธรรมาภิบาลเพื่อแก้ไขการคอรัปชั่น 6 การจัดการกฎระเบียบภาครัฐ 7 การจัดการโครงสร้างเศรษฐกิจไทยให้เป็นระบบ

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : 7องค์กรเอกชนเสนอล้างระบบเงินใต้โต๊ะ

Posts related