นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เป็นห่วงการชุมนุมทางการเมืองหากยืดเยื้อรุนแรง จะมีผลในระยะยาว และจะทำให้สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากต่างประเทศลดเครดิตเรตติ้งไทยลงได้ จากปัจจุบันอยู่ที่ บีบีบีบวก เพราะปัจจุบันมีหลายประเทศทที่เริ่มมีคำเตือนมายังประเทศไทยแล้ว ซึ่งหากถูกลดเรตติ้งจะกระทบต่อต้นทุนการกู้เงินจะมีสัดส่วนที่สูงขึ้น ทั้งภาครัฐและเอกชน สำหรับผลกระทบระยะสั้นะจะกระทบต่อด้านการท่องเที่ยว ซึ่งทำให้รายได้เข้าประเทศลดลง และระยะปานกลาง จะส่งผลทำให้ภาคเอกชนชะลอการตัดสินใจในการเดินหน้าลงทุนของนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ  “ถ้าการเมืองไม่ยืดเยื้อหรือเกิดความรุนแรง จะไม่กระทบต่อเศรษฐกิจมากและการฟื้นตัวจะทำได้อย่างรวดเร็ว แต่หากการเมืองรุนแรงจะทำให้ผู้ประกอบไม่กล้าลงทุนอาจกระทบต่อการจัดเก็บรายได้จากภาษีอากรด้วย” นอกจากนี้ขอให้กลุ่มผู้ชุมนุมที่เข้ายึดพื้นที่กระทรวงการคลังนั้น คืนพื้นที่ก่อน 5 ธ.ค.นี้ เพื่อให้ข้าราชการได้เข้าไปทำงาน เพราะส่งผลให้การทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น การเบิกจ่ายงบประมาณ และการจัดเก็บรายได้ ไม่สามารถทำได้เต็มประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการเบิกจ่ายงบประมาณทำไม่เต็ม 100 % ทั้งงบประจำ งบลงทุน และเงินชดเชยต่างๆ ที่ต้องจ่ายให้ประชาชน ดังนั้นขอให้กลุ่มผู้ชุมนุมเห็นใจในภาพรวมเศรษฐกิจด้วย นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า การชุมนุมทางการเมือง ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว และการเบิกจ่ายการลงทุนภาครัฐ ที่จะเข้ามาขับเคลื่อนเศรษฐกิจแทนการบริโภคในประเทศ และการลงทุนของภาคเอกชนที่ชะลอตัวทำให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปีนี้โตได้เพียง 3% จากเดิมคาดว่าโต 3.7% และหากชุมนุมยืดเยื้อจะกระทบไปถึงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาทล่าช้า ทำให้จีดีพีปีหน้า อาจจะโตไม่ถึง 5%  ตามที่คาดการไว้  ซึ่งอาจใช้นโยบายการคลังแบบขาดดุล เข้ามาเสริมระบบเศรษฐกิจ พยายามอัดฉีดเงินให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลังจากที่ก่อนหน้านี้คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว แต่ยอมรับว่าปัจจัยทางการเมืองกดดันทำให้แรงกระตุ้นเศรษฐกิจมีน้อยลง

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : คลังหวั่นไทยถูกลดความน่าเชื่อถือ

Posts related