นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯและรมว.คลัง เปิดเผยถึงกรณีที่วุฒิสภาได้ให้ความเห็นชอบร่างพ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการ คลังกู้เงินเพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของประเทศวงเงิน 2 ล้านล้านบาท ในวาระที่ 3 เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 20 พ.ย.ว่า มั่นใจว่าในปี 57 รัฐบาลสามารถจะเบิกจ่ายเงินกู้ในโครงการนี้ได้ไม่ต่ำกว่า 1 – 1.2 แสนล้านบาท เช่นเดียวกับโครงการลงทุนในโครงการบริหารจัดการน้ำ ที่คาดว่าจะเริ่มมีการก่อสร้างในบางโครงการได้ตั้งแต่เดือน ธ.ค. 56 ซึ่งทั้ง 2 โครงการจะมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 57 ได้ไม่น้อยกว่า 1% ส่วนกรณีที่จะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความกฎหมายฉบับนี้ก็ถือว่า เป็นขั้นตอนทางกฎหมาย แต่มั่นใจว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะสามารถชี้แจงได้แน่นอน และในการจัดเวทีและนิทรรศการทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ต่างๆ เวลานี้หลายพื้นที่ต่างเข้าใจตรงกันว่าไทยมีความจำเป็นต้องลงทุนโครงสร้าง พื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง และกฎหมายฉบับนี้เป็นเพียงการขอกรอบวงเงินในการดำเนินการ ไม่ใช่กฎหมายขออนุมัติโครงการ ขณะเดียวกันทุกโครงการจะมีการก่อสร้างและเบิกจ่ายงบประมาณได้ก็ต้องผ่าน ความเห็นชอบจาก 4 หน่วยงานเศรษฐกิจหลัก ทั้งจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กระทรวงคมนาคม สำนักงานงบประมาณ และสำนักบริหารหนี้สาธารณะ เพื่อตรวจสอบและให้ความเห็นชอบก่อนเสนอ ครม.พิจารณาตามขั้นตอน ไม่ได้หมายความว่าจะมีการเร่งรัดตัดตอนแต่อย่างใด “ระหว่างที่มีการพิจารณาในขั้นตอนของกฎหมาย หน่วยงานต่างๆ ที่รับผิดชอบ สามารถทำหน้าที่ในส่วนที่รับผิดชอบ เช่น การทำการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) และรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน ได้ให้ดำเนินการต่อเนื่องคู่ขนานเพื่อรอให้กฎหมายมีความพร้อมแล้วจะสามารถ ดำเนินการก่อสร้างตามแผนงานได้ทันที” นายกิตติรัตน์ กล่าวถึงการประชุมคณะทำงานกำกับการบริหารนโยบายเศรษฐกิจ ที่ทำเนียบรัฐบาล ว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้รายงานให้ทราบว่าในช่วงที่ผ่านมายังมีเงินทุนไหลเข้าออกในช่วงสั้นๆ 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพราะกังวลว่าสหรัฐจะปรับลดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือคิวอี ซึ่งเป็นเงินทุนที่ควรไหลออกไปบ้าง แต่เมื่อแนวโน้มชัดเจนแล้วว่าสหรัฐฯจะยังไม่ยกเลิกคิวอี ในช่วงต้นปี 57 นี้อาจมีเงินทุนไหลเข้าอีก แต่เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อการส่งออกเพราะธปท.มีเครื่องมือในการดูแลขณะที่ไทย ยังมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศในระดับที่เหมาะสม ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้รายงานแนวโน้มเศรษฐกิจให้ทราบโดยในปีหน้าจะมีแนวโน้มสดใสขึ้นและส่งผลดี ต่อภาคส่งออกของไทย แต่ต้องจับตาเรื่องเงินทุนไหลเข้าออกเพราะสหรัฐฯยังไม่ยกเลิกมาตรการคิวอี เบื้องต้นเชื่อว่ายังไม่มีเงินทุนไหลเข้ามามากจนกระทบต่อค่าเงินบาทจนแข็ง ค่ามากเกินไป ซึ่งค่าเงินบาทที่อยู่ในระดับที่เหมาะสมจะทำให้ภาคส่งออกของไทยดีขึ้นกว่าปี นี้ นายธีรัตถ์ รัตนเสวี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สศช. ได้เสนอ 4 แนวทางในการบริหารจัดการเศรษฐกิจในปีหน้าคือเร่งรัดการส่งออกให้ขยายตัวเต็ม ศักยภาพ ,เร่งรัดการลงทุนภาคเอกชน, เร่งรัดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและดูแลสภาพคล่องของระบบเศรษฐกิจและการเข้า ถึงเงินทุนของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยนายกฯได้สั่งการให้กระทรวงการคลังและสศช.เร่งจัดทำแผนเบิกจ่ายการลงทุน โครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นเป้าหมายในการดำเนิน การต่อไป และให้สศช.และธปท.ติดตามข้อมูลเงินทุนไหลเข้าออกทั้งระยะสั้นและระยะยาว รวมถึงจัดทำข้อมูลหนี้ภาคครัวเรือนให้ครอบคลุมทั้งหนี้ในและนอกระบบให้ ชัดเจนด้วย

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : ปี57เดินหน้าเบิกจ่ายเงินกู้ฯ 1.2 แสนล้านบาท

Posts related