shoplri.com ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

shoplri.com ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

Archives for ข่าวการตลาด เศรษฐกิจ

เสี่ยใหญ่”บุณยสิทธิ์”ชี้ศก.ไม่ถดถอยรอรัฐบาล”มืออาชีพ”นำพาประเทศ

ในช่วงเวลากว่า 1 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะฝั่งยุโรป และสหรัฐอเมริกา เกิดภาวะถดถอยผลพวงจากวิกฤติเหล่านี้ได้ส่งผลกระทบมายังเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น ในฐานะผู้ส่งออกสินค้าไปจำหน่ายยังประเทศเหล่านั้นต่างเป็นตลาดที่ผู้ประกอบการคนไทยได้ส่งสินค้าไปจำหน่าย มีจำนวนมากบ้าง น้อยบ้างแตกต่างกันไป เมื่อสถานการณ์ส่งออกฝืด ไม่ไหลลื่น ผู้ประกอบการไทยต้องปรับตัวรับสถานการณ์เหล่านี้อย่างไร ทีมข่าวเศรษฐกิจ “เดลินิวส์” มีโอกาสสัมภาษณ์ เสี่ยใหญ่ “บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา” ประธานเครือสหพัฒน์ นักธุรกิจที่คร่ำหวอดในวงการ ผ่านร้อน ผ่านหนาวมาผ่านวิกฤติเศรษฐกิจมาหลายรูปแบบ มองเห็นโลกมานาน มองว่า เศรษฐกิจในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ยังคงชะลอตัว รวมทั้งปีอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) อาจจะไม่ถึง 4% ส่วนหนึ่งสืบเนื่องมากจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และในประเทศผู้บริโภคได้ชะลอการจับจ่ายใช้สอย กำลังซื้อชะลอตัวลงไป เหตุการณ์ดังกล่าวคาดว่าจะต่อเนื่องไปจนถึงต้นปีหน้า ส่วนที่มองว่าจะเป็นอัศวินขี่ม้าขาวเข้ามาช่วยเศรษฐกิจไทยฟื้นจากอาการเซื่องซึมนี้ไปได้ คงหนีไม่พ้นโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้าน และโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ของรัฐบาล หากสามารถเร่งดำเนินการได้ตามแผน ก็จะช่วยอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบมีเงินหมุนเวียน เชื่อว่าจะกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของภาคประชาชนได้อีกระดับหนึ่ง หรือหากจะมองในอีกมุมหนึ่งนอกเหนือจากโครงการลงทุนใหญ่ ๆ ที่กล่าวไปเบื้องต้นแล้ว หากสถานการณ์ค่าเงินบาทเอื้อ อ่อนค่าลง ก็จะส่งผลดีในอีกทางหนึ่งเช่นกัน “แม้ว่าที่ผ่านมารัฐบาลจะปรับค่าแรงขั้นต่ำขึ้นอยู่ที่ระดับ 300 บาทต่อวัน แต่กำลังซื้อก็ไม่ได้เพิ่มขึ้น เพราะมีเหตุจูงใจอื่น ให้ผู้บริโภคต้องใช้จ่ายมากกว่าปกติ เช่น โครงการรถคันแรก รวมไปถึงพฤติกรรมการของผู้บริโภคที่เน้นอุปโภค-บริโภคในสิ่งที่มีความจำเป็นน้อย เช่น การใช้โทรศัพท์มือถือ ที่ปัจจุบันนี้กลายเป็นสิ่งจำเป็นไปเสียแล้ว ด้วยผลที่เกิดจากการดึงกำลังซื้อล่วงหน้ามาใช้ก่อน คงส่งผลให้การใช้จ่ายที่ชะลอตัวลง ณ ปัจจุบันนี้คาดว่าจะต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า” นอกจากนี้ได้มองถึงการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยที่น่าจับตามอง เมื่อตลาดใหญ่เปิด การทำธุรกิจก็จะขยายใหญ่ขึ้นไปอีก เดิมที่ทำการค้าขายในประเทศไทยประชากร 60 ล้านคน ก็จะเพิ่มเป็น 600 ล้านคน ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อตลาดกว้างขึ้นโอกาสในการทำธุรกิจย่อมมีมากขึ้นเช่นกัน มั่นใจว่าการเปิดเออีซีนั้นมีแต่ผลดี ทั้งการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ จากการเข้ามาของบริษัทต่างชาติ ขณะเดียวกันยังสร้างโอกาสให้กับนักธุรกิจไทยในการส่งออกสินค้าไปยังนานาประเทศ แต่ทั้งนี้การแข่งขันในตลาดก็จะสูงขึ้น ซึ่งถ้าธุรกิจไหนไม่แน่จริงคงอยู่ได้ยาก ดังนั้นการลงทุนจะทำให้ถูกทิศถูกทาง เนื่องจากไทย มีข้อได้เปรียบไม่ว่าจะเป็นแรงงานที่มีคุณภาพ ระบบสาธารณูปโภคที่ครบครัน รวมถึงทำเลที่ตั้ง ควรพิจารณาและเลือกใช้โอกาสที่มีอยู่อย่างชาญฉลาด สำหรับเครือสหพัฒน์นั้น เราได้เตรียมรับสถานการณ์ต่าง ๆ ไว้ ซึ่งหลักการทำธุรกิจต้องปรับตัวรับกับสถานการณ์ตลอดเวลา เพื่อความอยู่รอด ทำธุรกิจด้วยความระมัดระวัง ไม่ขยายกิจการมากเกินไป การทำธุรกิจที่ดีจะต้องไม่โลภ แต่ต้องรู้จักทิศทางในการลงทุน “แผนที่เราจะเปิดจะเดินต่อจากนี้ไป คือ จะให้ความสำคัญ กับธุรกิจบริการมากขึ้น การนำงานบริการเข้ามาเสริมธุรกิจเดิมนั้น เป็นการช่วยให้บริษัทรู้จักตลาดและเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น และนำข้อมูลเหล่านี้มาต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของบริษัทต่อไป ทางด้านภาคอุตสาหกรรมการผลิตนั้น จะไม่ขยายเพิ่ม จะทำด้วยความพอดี เพราะต่อไป เมื่อเปิดตลาดเออีซี เราจะเลือกทำการค้าด้วยการนำผลิตภัณฑ์ที่ดี มีคุณภาพของคู่ค้า มาจำหน่าย และพร้อมกันนั้นก็จะนำสินค้าของเครือฯ ออกไปทำตลาดในประเทศนั้น ๆ” เศรษฐกิจประเทศไทยขณะนี้ไม่ได้ถดถอย แต่รอจังหวะที่จะก้าวเดินต่อไป โดยต้องขึ้นอยู่กับรอจังหวะเวลา โอกาส และ รัฐบาลมืออาชีพ ที่จะเป็นผู้นำพาภาคเอกชนให้พุ่งทะยานไปข้างหน้าได้…เท่านั้น. พัชชาพร อยู่เลี้ยงพันธ์

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : เสี่ยใหญ่”บุณยสิทธิ์”ชี้ศก.ไม่ถดถอยรอรัฐบาล”มืออาชีพ”นำพาประเทศ

Posts related

 














อบรมสิงห์รถบรรทุกยกระดับขนส่ง

นายวัฒนา พัทรชนม์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า กรม กำลังเร่งยกระดับการสร้างมาตรฐานด้านความปลอดภัยในการขนส่งวัตถุอันตรายของประเทศ ให้สอดคล้องกับหลักสากล และลดความเสี่ยงของการเกิดอุบัติภัยในการขนส่ง โดยจัดโครงการให้ความรู้หัวข้อขนส่งวัตถุอันตรายอย่างไรให้ปลอดภัย แก่ผู้ประกอบการขนส่งด้วยรถบรรทุกไม่ประจำทางและรถบรรทุกส่วนบุคคล ผู้แทนสมาคม ชมรม ผู้ประกอบการขนส่งสินค้า ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมรวมทั้งสิ้นประมาณ 200 คน เพื่อพัฒนาการบริหารจัดการรถขนส่งวัตถุอันตรายให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งนี้การจัดสัมมนาครั้งนี้ มีหัวข้อ ประกอบด้วย หน้าที่ความรับผิดชอบของผู้ประกอบการขนส่งวัตถุอันตราย กฎระเบียบและข้อก าหนดว่าด้วยการขนส่งวัตถุอันตราย โดยหวังจะได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการขนส่งวัตถุอันตราย เพื่อให้นำความรู้ความเข้าใจไปใช้ควบคุมกำกับ ดูแลผู้ขับรถ และรถที่ใช้ทำการขนส่ง รวมถึงการบริหารจัดการในการขนส่งวัตถุอันตรายของตนให้เกิดความปลอดภัย นายวัฒนากล่าวว่า ปัจจุบันมีผู้ประกอบการขนส่งที่รับจ้างขนส่งวัตถุอันตราย และผู้ประกอบการขนส่งส่วนบุคคลทั่วประเทศ ทั้งสิ้น 4,101 ราย และมีรถบรรทุกวัตถุอันตรายมากถึง 15,169 คัน ซึ่งกรมการขนส่งทางบกได้มีมาตรการป้องกันอุบัติเหตุในการขนส่งวัตถุอันตรายมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ กำหนดให้ผู้ประกอบการต้องติดตั้ง ป้ายอักษร ภาพและเครื่องหมาย บนรถที่บรรทุกวัตถุอันตรายทุกคัน เพื่อเป็นการพัฒนาการขนส่งสินค้าอันตรายให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลและรองรับการก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 58 รวมทั้งสอดคล้องกับความตกลงว่าด้วยการขนส่งสินค้าอันตรายระหว่างประเทศทางถนนของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจของยุโรปแห่งสหประชาชาติ (เอดีอาร์) นอกจากนี้ล่าสุดได้กำหนดให้รถโดยสารสาธารณะ และรถบรรทุกวัตถุอันตราย (ลักษณะ 4) รถลากจูง (ลักษณะ 9) ที่ใช้สำหรับลากรถกึ่งพ่วงบรรทุกวัตถุอันตราย ต้องติดตั้งเครื่องบันทึกข้อมูลการเดินทางของรถ (จีพีเอส) ตามแบบที่กรมการขนส่งทางบกกำหนดทุกคัน เพื่อติดตามควบคุม กำกับดูแล พนักงานขับรถไม่ให้ขับเร็วเกินกำหนด และควบคุมชั่วโมงการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยกำหนดให้รถที่จดทะเบียนใหม่ต้องติดตั้งเครื่องจีพีเอส ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.56 ส่วนรถที่จดทะเบียนไว้ก่อนวันที่ 1 ม.ค.56 แต่ยังไม่ได้ติดตั้งเครื่องจีพีเอส ต้องดำเนินการติดตั้งให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปี 56

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : อบรมสิงห์รถบรรทุกยกระดับขนส่ง

เอกชนเมินประมูลข่าว

นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยถึงกรณีที่รัฐบาลจะเปิดให้ภาคเอกชนยื่นซองประมูลข้าวสต๊อคผ่านตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า (เอเฟท) ในวันที่ 25 ต.ค. 56 ว่า เอกชนคงไม่ได้สนใจประมูลข้าวผ่านเอเฟทมากนักเพราะรอจังหวะที่ราคาข้าวไทยจะลดลงอีก เนื่องจากผู้ซื้อทราบดีว่ารัฐบาลไทยได้รับแรงกดดันในการระบายข้าวจากโกดังหลังจากข้าวในฤดูกาลใหม่กำลังจะออกมา ดังนั้นจำนวนมากจึงรอซื้อข้าวใหม่ดีกว่าซื้อข้าวเก่าในโกดัง “ตอนที่ราคาข้าวไทยสูงขึ้นราคาข้าวในตลาดโลกก็ไม่ได้สูงตาม แต่ตอนนี้ราคาข้าวไทยลดเพราะถูกกดดันจากตลาดโลกส่งผลให้คู่แข่งก็ลดราคาตามด้วย ดังนั้นรัฐบาลคงต้องวางแผนการระบายไว้ให้ดีกว่าที่ผ่านมาเพราะยิ่งเก็บข้าวไว้นานเท่าไหร่ราคาข้าวก็ยิ่งตกเพราะเสื่อมคุณภาพไปเรื่อยๆ โดยตอนนี้ข้าวขาว 5% ของไทยราคาลดลงใกล้เคียงกับราคาของตลาดโลกคือ 415 เหรียญสหรัฐต่อตัน จากเดิมที่สูงถึง 520 เหรียญ ขณะที่ข้าวขาว 5% ของเวียดนามอยู่ที่ 395 เหรียญสหรัฐ” ทั้งนี้การแข่งขันในตลาดเอเฟทจะไม่คึกคัก แต่ภาคเอกชนก็เห็นด้วยกับการระบายข้าวด้วยวิธีดังกล่าวเพราะโปร่งใสที่สุด ส่วนการที่ภาครัฐพยายามจะทำการค้าแบบบาเตอร์เทรดนั้นก็เห็นด้วยแต่ทำได้ยากเพราะมีความเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงานและต้องมีการพิจารณาร่วมกันเพื่อให้ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับมูลค่าที่จะทำการบาเตอร์เทรด และที่สำคัญที่ผ่านมามีการทำการค้าลักษณะดังกล่าวน้อยมากหรือแทบไม่เกิดขึ้นเลย นายสมชาติ สร้อยทอง อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ เตรียมเปิดให้ภาคเอกชนที่สนใจยื่นซองประมูลข้าวสต๊อครัฐบาล ผ่านตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า (เอเฟท) ในวันที่ 25 ต.ค. 56 ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่จะมีการประมูลข้าวในลักษณะดังกล่าว โดยกระทรวงพาณิชย์มีความพร้อมที่จะเปิดประมูลข้าวล๊อตแรกจำนวน 140,443 ตัน จากที่วางแผนไว้ว่าจะระบายข้าวผ่าน เอเฟททั้งสิ้น 1 ล้านตัน “ข้าวที่จะประมูลแบ่งเป็นข้าวขาว 5% จากคลังในจังหวัดนครสวรรค์ สุพรรณบุรี ชัยนาท และสระบุรี และข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 2 จากคลังในจังหวัดอุบลราชธานี สุรินทร์ และบุรีรัมย์ กำหนดรับมอบข้าวเป็น 3 ล็อต ล็อตแรกในเดือนธ.ค. 56 และล็อตที่สอง และสาม ในเดือน ม.ค.และก.พ. 57” สำหรับในวันที่ 25 ต.ค. นี้จะเปิดให้เอกชนเข้ายื่นซองเสนอราคาตั้งแต่เวลา10.00 น. และจะปิดรับซองเสนอราคาในเวลา 12.00 น. ที่ สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ สนามบินน้ำ นนทบุรี อย่างไรก็ดีก่อนหน้านี้ตนได้นำตัวแทนสมาคมโรงสีข้าวไทยและผู้ส่งออก เข้าตรวจคุณภาพข้าวในโกดังที่จะนำข้าวมาเปิดประมูลในครั้งนี้ด้วย เบื้องต้นจากการสุ่มเก็บตัวอย่างข้าวออกมาตรวจสอบพบว่ามีการเก็บรักษาข้าวได้ค่อนข้างดี ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะสามารถประมูลข้าวได้ราคาสูงเพราะเป็นข้าวใหม่ปี 2555/ 56 และเป็นข้าวคุณภาพสูง นายมนัส กิจประเสริฐ นายกสมาคมโรงสีข้าวไทย กล่าวว่าในกรณีที่นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รมช.คลัง ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่า พบข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาสวมสิทธิ์เข้าโครงการรับจำนำข้าวด้วยนั้น ถือเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ง่าย เนื่องจากแต่ละโรงสีที่เข้าโครงการจะมีตัวแทนเกษตรกร และตำรวจ ร่วมเป็นคณะกรรมการคอยตรวจสอบอยู่แล้ว ส่วนข้าวที่จะนำมาเข้าโครงการจากประเทศเพื่อนบ้านนั้น ก็จะต้องนำใส่รถบรรทุกขนเข้ามา ราว 70-100 เที่ยว ซึ่งไม่สามารถผ่านการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ตามแนวชายแดนได้อย่างแน่นอน ดังนั้นยืนยันว่า การที่โรงสีจะร่วมมือนำข้าวเข้ามาสวมสิทธิ์เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก และเชื่อว่าข้อมูลที่มีการเปิดออกมา เป็นเรื่องเก่า หรือเป็นเพียงการตั้งข้อสังเกต

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : เอกชนเมินประมูลข่าว

Page 1504 of 1552:« First« 1501 1502 1503 1504 1505 1506 1507 »Last »
Home Webmail Password Help File Manager Logout Edit a file