shoplri.com ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

shoplri.com ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจขนาดย่อม ธุรกิจsme

Archives for ข่าวการตลาด เศรษฐกิจ

คปภ. ยืนยันไม่ขึ้นค่าเบี้ยประกันภัยพิบัติ

นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ (คปภ.) เปิดเผยว่า สถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัดจะไม่ทำให้กองทุนฯ ต้องปรับขึ้นอัตราเบี้ยประกันภัยพิบัติ เนื่องจากยังไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมอุตสาหกรรม และพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ราบลุ่มปกติมีน้ำท่วมประจำทุกปีอยู่แล้วไม่ได้มีน้ำเหนือไหลลงมาสมทบ ดังนั้นจะไม่เกิดวิกฤติอุทกภัยเหมือนปี 54 ประกอบกับภาคอุตสาหกรรมได้เตรียมพร้อมรับมือและบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยน้ำท่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น สร้างเขื่อนถาวรและระบบการระบายน้ำในนิคมอุตสาหกรรมทั้ง 7 แห่งส่งผลให้บริษัทรับประกันภัยต่อต่างประเทศมีความเชื่อมั่น และเข้ามารับความเสี่ยงในประเทศไทยมากขึ้น “แม้สถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในขณะนี้ยังไม่ถือเป็นภัยพิบัติ แต่กองทุนฯ ก็ได้ติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด รวมทั้งมีความพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือจากการจ่ายค่าสินไหมอย่างเต็มที่ ซึ่งปัจจุบันกองทุนฯ จัดเก็บเบี้ยประกันกลุ่มครัวเรือน 0.5% ต่อปี ธุรกิจขนาดกลางและย่อม 1% ต่อปี และกลุ่มอุตสาหกรรม 1.25% ต่อปี” สำหรับยอดขายกรมธรรม์ประกันภัยพิบัติตั้งแต่วันที่ 28 มี.ค.55 – 20 ก.ย.56 มีจำนวน 1.69 ล้านฉบับ เป็นกรมธรรม์ที่ยังมีความคุ้มครองอยู่จำนวน 1.38 ล้านฉบับ โดยมีทุนประกันภัยพิบัติ 84,792 ล้านบาท เป็นทุนประกันภัยต่อตามสัดส่วนของกองทุนฯ ที่ยังมีความคุ้มครองอยู่จำนวน 44,719 ล้านบาท โดยธุรกิจเอสเอ็มอี และกลุ่มอุตสาหกรรมทำประกัน 15,560 ล้านบาทแบ่งเป็นนอกเขตนิคมอุตสาหกรรม 13,504 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน87% และในเขตนิคมอุตสาหกรรม 2,056 ล้านบาทคิดเป็น 13 % ขณะที่ทุนประกันภัยต่อตามสัดส่วนของกองทุนฯของเอสเอ็มอีมี 6,635 ล้านบาท ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมี 8,925 ล้านบาท แบ่งเป็นนอกเขตนิคมอุตสาหกรรม 6,960 ล้านบาท และในเขตนิคมอุตสาหกรรม 1,965 ล้านบาท

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : คปภ. ยืนยันไม่ขึ้นค่าเบี้ยประกันภัยพิบัติ

Posts related

 














อพาร์ตเมนท์-คอนโดให้ต่างชาติเช่าขาดตลาดรอบ20ปี

นายเจมส์ พิทชอน กรรมการบริหาร ซีบีอาร์อี ประเทศไทย ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ค่าเช่าที่พักอาศัยในกรุงเทพฯ ประเภทอพาร์ตเมนต์และคอนโดมิเนียมสำหรับชาวต่างชาตินั้น มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 20 ปี เนื่องจากความต้องการสูงขึ้น โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมหรือห้องขุดที่มีขนาด 2-3 ห้องนอน “ปัจจุบันชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในไทย เดินทางมาพร้อมครอบครัวมากขึ้น ขณะที่จำนวนที่พักอาศัยประเภทอพาร์ตเมนต์และคอนโดมิเนียมให้เช่าขนาด 2 และ 3 ห้องนอนนั้น ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 1 ห้องนอน ขณะที่ทำเลพักอาศัยที่ต่างชาติให้ความนิยมจะอยู่ในย่าน ถนน สุขุมวิท ซ.1 – 63 และ สุขุมวิท ซ.2 – 42 ย่านลุมพินี รวมทั้งบางพื้นที่ในย่านสีสมและสาทร นายพิทชอน กล่าวว่า ตลาดคอนโดมิเนียมหรืออพาร์ตเมนต์ให้เช่า โดยเฉพาะขนาด 2-3 ห้องนอน กำลังขาดตลาดเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 20 ปี ทำให้แนวโน้มราคาที่อยู่อาศัยประเภทดังกล่าวนี้มีทิศทางปรับเพิ่มขึ้น โดยอพาร์ตเมนต์ในทำเลที่ชาวต่างชาติให้ความนิยม มีโครงการใหม่ที่กำลังก่อสร้างกว่า 22,000 ยูนิต แต่เป็นที่พักขนาด 2-3 ห้องนอนไม่ถึง 100 ยูนิต หรือ 30% เท่านั้น ทั้งนี้ จากข้อมูลของสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว กรมการจัดหางานเมื่อสิ้นไตรมาส 2 ที่ผ่านมา พบว่า มีชาวต่างชาติกว่า 65,000 คนที่ได้รับใบอนุญาตให้ทำงานในกรุงเทพฯ เพิ่ม 10% ต่อปี ไม่รวมถึงนักการทูต และชาวต่างชาติที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานในจังหวัดอื่นที่ไม่ใช่กรุงเทพฯ แต่พักอาศัยในกรุงเทพฯ โดยบางส่วนซื้อที่พักอาศัยเป็นของตนเอง และบางส่วนโดยเฉพาะกลุ่มคนโสดนิยมเช่าที่พักอาศัยใจกลางเมือง

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : อพาร์ตเมนท์-คอนโดให้ต่างชาติเช่าขาดตลาดรอบ20ปี

ส่องโอกาสการค้าการลงทุนในอาเซียน – เออีซีกับม.หอการค้าไทย

นับเวลาถอยหลังอีกไม่นาน การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี จะเริ่มต้นขึ้น สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งคงหนีไม่พ้นเรื่องของการค้าการลงทุน เพราะอุปสรรคมากมายที่เคยเป็นเหมือนกุญแจปิดตายในแต่ละประเทศ เตรียมที่จะไขออก เพื่อเปิดประตูของการค้าให้เป็นเสรีให้มีความสะดวกมากขึ้น ยิ่งถ้ามองถึงช่องทางการดำเนินธุรกิจแล้ว อาเซียนถือเป็นตลาดใหญ่ที่กำลังเนื้อหอม ขณะเดียวกันยังเป็นเรื่องท้าทายให้ผู้ประกอบการไทยใช้โอกาสนี้สร้างรายได้โกยเงินเข้ากระเป๋า “ดร.เฉลิมชัย ผู้พัฒน์” อาจารย์พิเศษ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย บอกในรายการ “เศรษฐกิจติดจอ” ทางเดลินิวส์ทีวี เมื่อวันที่ 19 ต.ค. ว่า ไทยโชคดีที่มีทรัพยากรหลากหลาย โดยเฉพาะอาหาร ขณะที่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหารก็มีเป็นจำนวนมากเช่นกัน ซึ่งภาพรวมของการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ตลาดใหญ่เออีซีในปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการไทยหลายรายได้เตรียมความพร้อมไปมากแล้ว บางรายเริ่มไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้ง เปิดร้านอาหาร หรือขายสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่ผู้ประกอบการไทยเริ่มใช้ประโยชน์จากการค้าที่เปิดอย่างเสรี ปัจจุบันการทำการค้าการลงทุนในอาเซียน แม้ยังไม่ได้เปิดให้เสรีในทุกธุรกิจ โดยนำร่องเพียง 12 ประเภทธุรกิจ ใน 7 ประเทศเท่านั้น แต่มองว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ซึ่งเชื่อว่าในอนาคตคงมีข้อตกลงเปิดเสรีในธุรกิจอื่นเพิ่มขึ้น สำหรับ 12 ประเภท ใน 7 ประเทศ ประกอบด้วยอินโดนีเซีย ที่เปิดเสรียานยนต์และผลิตภัณฑ์ไม้ ขณะที่มาเลเซีย เปิดเสรีผลิตภัณฑ์ยาง และผลิตภัณฑ์สิ่งทอ เพื่อนบ้านอย่าง เวียดนาม เปิดเสรีด้านโลจิสติกส์ ส่วนฟิลิปปินส์ เปิดเสรีด้านอิเล็กทรอนิกส์ สิงคโปร์ เปิดเสรีด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และผลิตภัณฑ์สุขภาพ ด้านประเทศพม่า เปิดเสรีผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร และการประมง สำหรับไทยเองได้เปิดให้นักลงทุนจากอาเซียนเข้ามาลงทุนใน 2 สาขา คือ ธุรกิจท่องเที่ยว และธุรกิจการบิน โดยด้านท่องเที่ยวในเวลานี้ได้กลายเป็นพระเอกในการสร้างรายได้เข้าประเทศอย่างต่อเนื่อง เชื่อมโยงไปถึงธุรกิจโรงแรม และการบริการอื่น ๆ อีกเป็นจำนวนมาก เพราะสถานที่ท่องเที่ยวของไทย มีชื่อเสียงโด่งดัง คุ้นหูไปทั่วโลก ขณะที่ธุรกิจการบิน ที่จะเห็นได้ว่าขณะนี้ไทยมีผู้ประกอบการด้านการบินหลายราย มีสายการบินใหม่ ๆ ทำการบินมาที่ไทยเพิ่มมากขึ้น ส่วนสาขาอื่น ๆ นั้น แต่ละประเทศยังอยู่ระหว่างพิจารณาความเหมาะสมของธุรกิจที่สามารถเปิดให้มาลงทุนได้… ดังนั้น…สิ่งที่ผู้ประกอบการทุกราย! ไม่ว่าจะทำธุรกิจอะไรก็ตาม จำเป็นต้องเตรียมพร้อม เพราะเมื่อใดที่มีการเปิดเสรีในธุรกิจนั้นจะได้รองรับได้ทันและทำให้เกิดความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น นอกจากเรื่องราวของเออีซี แล้ว ประเทศในกลุ่มอาเซียนได้ตกลงร่วมกันในการเปิดเสรีการค้าการลงทุน ภายใต้ข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน หรืออาฟต้า ที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 35 โดยมีข้อตกลงที่สำคัญ 5 ด้าน คือด้านการค้า ที่มีการกำหนดให้ขจัดอุปสรรคต่าง ๆ ทางการค้าระหว่างประเทศต่อกัน สามารถเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ แรงงานอย่างเสรี ต่อมาคือ ด้านการเงินการคลัง ได้กำหนดให้มีนโยบายการเงินการคลังร่วมกัน และเปิดเสรี ใช้เงินสกุลเดียวกัน รวมทั้งมีข้อตกลงด้านภาษีอากรให้เป็น 0% ด้านศุลกากร กำหนดให้มีสหภาพศุลกากร ลดขั้นตอนปล่อยสินค้าให้คล่องตัวขึ้น และสุดท้ายเป็นด้านกฎหมาย แรงงาน และการเมือง ที่ต้องสอดคล้องกัน ดร.เฉลิมชัย บอกว่า ขณะนี้โอกาสของผู้ประกอบการไทยมีมาก ไม่ว่ารายใหญ่ หรือรายเล็ก ซึ่งรายใหญ่คงไม่มีปัญหาแต่หากเป็นธุรกิจขนาดเล็กที่มีจำนวนมาก นอกจากการเตรียมความพร้อมด้วยตัวเองแล้ว ภาครัฐเองต้องเข้ามาเอาใจใส่ เพื่อผลักดันให้ธุรกิจมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะควรตั้งสถาบันที่เป็นศูนย์กลางชี้แจงข้อมูลการทำธุรกิจในอาเซียน เป็นศูนย์ที่ให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ คือ มีตัวแทนหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจทุกสาขาเข้ามาให้ข้อมูล และสามารถตอบข้อสงสัยได้ทุกเรื่อง ท้ายที่สุดดร.เฉลิมชัย ได้ทิ้งท้ายไว้ว่า ไทยสามารถก้าวสู้กับตลาดอาเซียนได้แน่นอน แต่ขอให้เริ่มจากจุดเล็ก ๆ หรือเล่นกับมวยรุ่นเดียวกันไปก่อน เช่น ในธุรกิจท่องเที่ยวของไทย เป็นธุรกิจที่ได้เปรียบ และไม่แพ้ใคร มีวิธีที่จะทำให้ธุรกิจยืนอยู่ได้ คือ ต้องพยายามรุกให้มาก ใครที่มีธุรกิจโรงแรมอยู่แล้วก็ขอให้บุกเข้าไปทำธุรกิจเลย หรือประเภทสินค้าสุขภาพ ก็ขอให้บุกไปประเทศอื่นได้ หรือถ้าเป็นอาหารไทย ก็มีช่องทางหลากหลาย ซึ่งได้รับข้อมูลจากสถานทูตกัมพูชา ว่าคนกัมพูชา ชอบรับประทานอาหารไทยมาก แต่มีร้านอาหารไทยไปเปิดน้อย โดยเฉพาะมื้อเช้าคนที่กัมพูชาชอบทานก๋วยเตี๋ยว เรื่องราวเหล่านี้…หากผู้ประกอบการไทย หันมาให้ความสนใจกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างจริงจัง ก็จะเห็นโอกาสอันงามที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีก 2 ปีข้างหน้า !. วสวัตติ์ โอดทวี

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : ส่องโอกาสการค้าการลงทุนในอาเซียน – เออีซีกับม.หอการค้าไทย

Page 1511 of 1552:« First« 1508 1509 1510 1511 1512 1513 1514 »Last »
Home Webmail Password Help File Manager Logout Edit a file