คลื่นสัญญาณอย่างแรง ที่ส่งผล กระทบเป็นวงกว้างต่อระบบเศรษฐกิจโลกเกิดขึ้นทันที เมื่อ “พี่เบิ้ม” ของโลกอย่าง ประเทศจีน ประกาศชัดเจนว่า จะ ทยอยลดอุณหภูมิความร้อนแรงของเศรษฐกิจลง แล้วหันมากระตุ้นการเติบโตภายในประเทศแทน ซึ่งแน่นอนว่า ไทยเองก็หนีไม่พ้นต้องโดนหางเลขไปด้วย!! แต่อย่างไรก็ดี ไทยถือว่ายังโชคดี ในฐานะที่เป็นคู่ค้าคู่ขายที่มีความสัมพันธ์แนบแน่นกันมาอย่างยาวนาน ทำให้แม้ว่าจีนจะลดการนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่น มากน้อยแค่ไหน ก็ยังต้องการซื้อสินค้าจากไทยอยู่ โดยเฉพาะผลผลิตทางการเกษตร ทั้งข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ตอกย้ำความเบาใจอีกครั้งด้วยการที่ นายกรัฐมนตรีของไทย “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เดินทางไปเยือนจีน เมื่อต้นเดือนก.ย.ที่ผ่านมา พร้อมทั้งได้หารือร่วมกับ “หลี่ เค่อ เฉียง” นายกรัฐมนตรีของจีน และได้วางเป้าหมายร่วมกันว่า ต่างฝ่ายต่างจะเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันให้มากขึ้น จากปัจจุบันปีละกว่า 70,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 2.17 ล้านล้านบาท ให้แตะ 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 3.1 ล้านล้านบาท ภายในปี 58 นี้ให้ได้ ล่าสุด “สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ” พร้อมด้วย “ธนาคารกรุงเทพ” พา “สื่อมวลชน” ในโครงการพัฒนาศักยภาพผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจระดับสูง (พศส.) ลัดฟ้าตามรอย ไปยัง “มหานครเซียงไฮ้” ทัศนศึกษาโอกาสและลู่ทางการค้าการลงทุนระหว่างกัน ที่จะเพิ่มมากขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ “ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร” อัครราชทูตฝ่ายพาณิชย์ประจำสถานทูตไทย ณ กรุงปักกิ่ง ฟันธงว่า ไม่ว่าจะปัจจุบัน หรืออนาคต เศรษฐกิจจีนยังคงเติบโตอีกมาก สะท้อนจากเศรษฐกิจที่ขยายตัว โดยเฉพาะปีนี้ที่วางเป้าหมายไว้ 7.5% ซึ่งถือว่าเติบโตสูงกว่าทุก ๆ ประเทศในภูมิภาค อีกทั้งค่าเฉลี่ยก็เพิ่มขึ้นในลักษณะนี้ทุกปี ดังนั้น การที่หลายฝ่ายมองว่า เศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลง หรือลดความร้อนแรงลงนั้น ไม่เป็นความจริง เพียงแค่การที่จีนพยายามหันมาพึ่งพาตัวเองมากขึ้น ผ่านช่องทางการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ ก็ส่งผลให้อุปสงค์ในประเทศเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 12% ทุกวัน นับว่าสูงกว่าประเทศใด ๆ ในโลก เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว นี่จึงเป็นโอกาสทองของธุรกิจไทย ที่จะส่งสินค้ามาขายยังตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยเฉพาะสินค้าเกษตร หรือสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน แต่สิ่งที่สำคัญ ผู้ประกอบการต้องศึกษาข้อมูลความเสี่ยงให้รอบคอบ มองให้รอบด้าน ก่อนหาช่องทางเข้ามาทำตลาด เช่น สร้างความคุ้นเคยให้คนในพื้นที่จดจำ หรือทำการตลาดเชิงรุกในมุมมองใหม่ ๆ เพราะขณะนี้สินค้าจากทุกแหล่งก็เหมือนถูกแม่เหล็กดึงดูดให้มุ่งเข้ามาขายที่จีนทั้งนั้น เมื่อผู้บริโภคมีทางเลือกเยอะ ก็แน่นอนว่าต้องเกิดการแข่งขันที่รุนแรง ที่สำคัญ ขณะนี้วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนจีนก็เปลี่ยนไปชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ ไม่เหมือนอดีตแล้ว โดยประชาชนส่วนใหญ่มีรายได้เพิ่มขึ้น มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเมืองทางฝั่งตะวันออก เช่น เซียงไฮ้ หางโจว ล้วนแต่กลายเป็นคนรวยมากขึ้น จึงต้องการสินค้าที่มีคุณภาพสูงขึ้นมาตอบสนองความต้องการ หรือสินค้าแบรนด์เนม สะท้อนได้จากภาพของชาวจีนไปเที่ยวต่างประเทศ ยืนต่อคิวซื้อสินค้าแบรนด์เนมจนแน่นร้าน ขณะที่รัฐบาลจีนเองก็ยังเตรียมแผนกระจายความเจริญไปให้ทั่วประเทศ จากเดิมที่เน้นเมืองฟากด้านตะวันออก ก็ค่อย ๆ ขยายพัฒนาไปสู่ฝั่งตะวันตกมากขึ้น
“นอกจากนี้ ไทยเรามีจุดเด่นที่สินค้าเกษตร จึงต้องการให้นำไปเปิดตลาดในเมืองใหม่ ๆ ของจีนมากขึ้น ไม่ใช่ส่งไปขายกระจุกตัวอยู่ในย่านเมืองเดียวเหมือนปัจจุบัน ต้องใช้เครือข่ายให้เป็นประโยชน์ เพราะจีนยังต้องการอีกมาก จากความเป็นเมืองที่เติบโตขึ้นทุกวัน ขณะที่รัฐบาลไทยเองต้องใช้ช่องทางส่งเสริมที่มีอยู่ เช่น กรอบข้อตกลงทางการค้าไทย-จีน หรืออาเซียน-จีน ให้เป็นประโยชน์สูงสุด ไม่ต้องกังวลว่าเศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลง เช่นตัวเอง มีงานที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลไทย ให้ช่วยเจรจาขายสินค้าเกษตร โดยเฉพาะข้าวสาร ซึ่งตั้งเป้าหมายว่าภายในสิ้นปีนี้ ต้องเจรจาขายข้าวให้จีน 4-5 ล้านตันให้ได้” ฝั่งภาคเอกชนที่เข้าไปลงทุนอย่างยาวนาน เช่น เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) นั้น ก็มี “ธนากร เสรีบุรี” รองประธานกรรมการซีพี ที่ออกมารับประกันอีกเสียงหนึ่งว่า เศรษฐกิจจีนยังแข็งแกร่ง แม้หลายคนมองว่าจะชะลอตัวเหลือเพียง 7% จากเดิมที่โตถึง 13% แต่จีนก็ยังมีแหล่งเจริญอีกหลายแห่ง ส่วนมากเป็นแหล่งที่รัฐบาลจีนต้องการสร้างให้เกิดคนร่ำรวย และลดช่องว่างระหว่างคนเมืองกับคนชนบท คือพื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันตก ซีพีเองถือว่า จีนเป็นแหล่งลงทุนที่น่าสนใจในอนาคต เพราะเชื่อว่าธุรกิจในจีนยังคงเติบโตต่อเนื่องได้อีกอย่างน้อย 5-10 ปี มีเมืองใหม่ ๆ ที่น่าสนใจลงทุน เช่น เฉิงตู โล่วหยาง จงหยวน เซียะเหมิน ซีอาน เพราะล่าสุดรัฐบาลจีนได้สร้างระบบสาธารณูปโภครองรับการเติบโตแล้ว ทั้งถนนซูเปอร์ไฮเวย์ รถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อกับเมืองใหญ่ ท่าเรือ และสนามบิน ภาคเอกชนขนาดยักษ์ใหญ่ของไทย อย่างซีพี ยังมุ่งมั่นตั้งใจที่จะลงหลักปักฐานในเมืองจีนต่อไป ไม่หวั่นว่าเศรษฐกิจจะหดตัวลงแค่ไหนก็ตาม นั่นแสดงว่า จีนยังมีดีให้ผู้ประกอบการรายอื่นของไทย ส่องหาลู่ทางราบรื่นเข้าไปลงทุนเพิ่มเติมได้ไม่จำกัด ไม่ว่าจะไปวันนี้ หรือวันพรุ่งนี้ ก็ยังไม่สายเกินไป. วสวัตติ์ โอดทวี

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : เศรษฐกิจแดนมังกรยังร้อนเร่งหาช่องโกยเงินกลับไทย

Posts related