นางเกศรา  มัญชุศรี รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานการตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ปัญหาทางการเมืองในประเทศที่เกิดขึ้น ทำให้ภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยตั้งแต่วันที่ 1- 29 ม.ค. ที่ผ่านมา ไม่ค่อยเป็นปกติมากนัก เห็นได้จากปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน (วอลุ่ม) ที่ลดลงเหลือ 33,000 ล้านบาท จากสิ้นปี 56 อยู่ที่ 58,000 ล้านบาท เป็นผลจากนักลงทุนรายย่อยได้ปรับตัวโดยลดสัดส่วนการลงทุนลงเหลือ 45% จากสิ้นปี 56 ที่มีสัดส่วน 57% และเมื่อเทียบกับในอดีตเคยมีสัดส่วนสูงสุดเฉลี่ยที่ 55-60% ขณะที่นักลงทุนต่างชาติเพิ่มขึ้นเป็น 32% จากเดิมกว่า 20% นักลงทุนสถาบัน 10% และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ 13% “แม้สถานการณ์การเมืองในประเทศที่เกิดขึ้นจะทำให้นักลงทุนรายย่อยลดลง แต่นักลงทุนสถาบันในประเทศรวมถึงต่างชาติกลับไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก  โดยเมื่อวอลุ่มมีจำนวนมาก จากการที่ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นทุกวันจะทำให้ผู้ลงทุนอยากซื้อ แต่พอมีความไม่แน่นอนสูงทำให้ผู้ลงทุนรายย่อยไม่มีอารมณ์อยากซื้อหุ้น นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทยยังได้รับผลกระทบจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดขนาดวงเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจ (คิวอี) จึงกระทบกับจิตวิทยาการลงทุนทั้งภูมิภาค แต่ถือว่าหุ้นไทยเมื่อวันที่ 30 ม.ค.ปรับลงไม่มาก เนื่องจากตลาดรับรู้ผลกระทบดังกล่าวมาหลายวันแล้ว” อย่างไรก็ตาม ในช่วง 1-2 เดือนนี้ คงประเมินภาพรวมตลาดหุ้นไทยได้ยาก แต่เชื่อว่าภายในครึ่งปีแรกจะดีขึ้น และผู้ลงทุนสามารถปรับตัวได้ดี เพราะไทยผ่านความไม่แน่นอนสูงมาแล้วหลายครั้ง ส่วนการขายของนักลงทุนต่างชาตินั้น ที่ผ่านมาถือว่าขายออกมากพอสมควรแล้ว ทำให้เหลือช่องว่างในการขายอีกไม่มาก และเมื่อสถานการณ์ในประเทศสงบลง ต่างชาติน่าจะกลับเข้ามาลงทุน

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : ปริมาณซื้อขายนักลงทุนรายย่อยลดลง

Posts related